วันพุธที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2560

บทความ: สถาบันกษัตริย์กับการค้ายาเสพติด ตอนที่ 7 ยาเสพติด ขบวนการมาลีปา เส้นทางที่ 2 ยึดพื้นที่ดอยอ่างขาง



                                                สถาบันกษัตริย์กับการค้ายาเสพติด   



บทความโดย พิษณุ พรหมสร Anti

เผยแพร่ครั้งแรก                    30 กรกฎาคม 2557  ในชื่อหัวข้อ ”เส้นทางยาเสพติดของลุงสมชาย”   

แก้ไขอัพเดทเพิ่มเติมครั้งที่1.... 12  กันยายน 2560   ในชื่อหัวข้อ “สถาบันกษัตริย์กับการค้ายาเสพติด

                                                              ตอนที่ 7                                            

                        ยาเสพติด ขบวนการมาลีปา เส้นทางที่ 2 ยึดพื้นที่ดอยอ่างขาง

 ยาเสพติดเส้นทางนี้  เป็นของครอบครัวกษัตริย์ภูมิพล


                      ยึดพื้นที่ดอยอ่างขางทำโครงการหลวง เพื่อให้เป็นทางผ่านยาเสพติด

        ฝิ่นดิบและเฮโรอีนจากกลุ่มโกกั้งในเส้นทางนี้ เข้ามาทาง “ดอยอ่างขาง”  กษัตริย์ภูมิพล จะให้ม.จ.ภีศเดช รัชนี ซึ่งเป็นพระสหายสนิทมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ซึ่งเป็นประธานมูลนิธิโครงการหลวง และเป็นผู้อำนวยการดูแล โครงการหลวงสงเคราะห์ชาวเขา เป็นผู้ดูแลยาเสพติดในเส้นทางสายนี้ 

มจ.ภัศเดช รัชนี
       และปัจจุบัน ทราบข่าวว่าสิรินธรเป็นผู้ ควบคุมคัดเลือกบุคคลที่ไว้ใจ ให้มาดูแลยาเสพติดสายนี้ โดยให้ทำงานในโครงการหลวงบังหน้า ส่วนทหารที่เข้ามาคุ้มกันเส้นทางสายนี้ ในอดีตกษัตริย์ภูมิพลจะเป็นผู้คัดเลือกทหารด้วยตนเอง แต่ในปัจจุบันสิรินธรเป็นคนจัดการ

                             การค้ายาเสพติดคือพระราชกรณีย์กิจของครอบครัวมหิดล

       ยาเสพติดในเส้นทางนี้ ได้ถูกส่งออกต่างประเทศ โดยคนในครอบครัวของกษัตริย์ภูมิพล ด้วยการใช้พระราชกรณีย์กิจต่างๆในการเดินทางไปต่างประเทศมาเป็นข้ออ้างบังหน้า และการส่งออกของครอบครัวกษัตริย์ไทย ก็จะทำได้ง่าย เพราะจะได้รับเอกสิทธิ์ ไม่ต้องถูกตรวจค้นอย่างละเอียด ที่สนามบินในต่างประเทศ

                         พระราชกรณีย์กิจผิดพลาด ที่สนามบินฮีทโธรว์ ในกรุงลอนดอน 

สนามบินฮีทโธรว์ ในลอนดอน
            ประมาณปี 2539 มีอยู่ครั้งหนึ่งการส่งยาเสพติดของพวกราชวงศ์ไทยไปกรุงลอนดอน ในประเทศอังกฤษเกิดการผิดพลาด เพราะเมียของพระบรมโอรสาธิราช วชิราลงกรณ์ ที่ชื่อ ยุวธิดา ผลประเสริฐ ซึ่งต่อมาได้ถูกสถาปนาเป็น หม่อมสุจาริณี

หม่อมสุจาริณีกับลูก
 ได้ร่วมมือกับ ลูกสาวเจ้าของบริษัทไทยช็อป ที่ตั้งอยู่ใน อ.สันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นบริษัทผู้ส่งออกเครื่องทองเหลือง โดยยัดยาเสพติดไปในเครื่องทองเหลือง และในครั้งนั้น เครื่องทองเหลืองที่ถูกส่งมาจากประเทศไทย ก็ได้รับเอกสิทธิ์ยกเว้นไม่ต้องตรวจค้นเหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา ดังนั้น หม่อมสุจาริณีจึงนำลูกๆทั้งหมด 5 คนไปรับของที่สนามบินฮีทโธรว์  ในกรุงลอดดอน

เครื่องทองเหลืองยัดใส้ยาเสพติด
                                                               พลาดเพราะสุนัขดมกลิ่น

        แต่บังเอิญว่าในขณะนั้น มีสุนัขตำรวจตัวหนึ่งภายในบริเวณสนามบินที่ถูกฝึกมาให้ตรวจดมยาเสพติด ซึ่ง    ตำรวจผู้ดูแล ได้แวะพักเข้าไปกินกาแฟในคาร์บิ้น และผูกไว้ไม่แน่น สุนัขจึงได้หลุดเดินมายัง Termenal ภายในสนามบินที่มีตู้เก็บเครื่องทองเหลืองนี้ตั้งอยู่ และเจ้าหน้าที่กำลังเอาเครื่องทองเหลืองออกมาเพื่อเตรียบส่งมอบให้กับผู้มารับ พอสุนัขได้กลิ่นยาเสพติดก็เห่าและไม่ยอมไปไหน เพราะถูกฝึกมาอย่างนั้น จนเจ้าหน้าที่ต้องไปตามตำรวจผู้ดูแลสุนัข พอมาเจอ ก็รู้ว่าต้องมียาเสพติดแน่ จึงได้ประสานงานกับตำรวจหน่วยพิเศษสก๊อตแลนด์ยาร์ด ให้เข้ามาทำการตรวจสอบอย่างละเอียด ในที่สุดก็พบยาเสพติดบรรจุอยู่ในเครื่องทองเหลืองทุกใบ

สุนัขตำรวจ
      พอเกิดเรื่องรัฐบาลอังกฤษก็แจ้งไปยังสมเด็จพระราชินีอลิซาเบท โดยขอให้ช่วยมาเป็นคนกลางเพื่อจัดการในเรื่องนี้ สมเด็จพระราชินีอลิสเบทจึงมีสายตรงมายังกษัตริย์ภูมิพล....
        ถึงช่วงนี้ผู้เขียนก็ไม่มีรายละเอียดข้อมูลว่า กษัตริย์ภูมิพลเอาผลประโยชน์อะไร? ไปต่อรองแลกเปลี่ยนกับ รัฐบาลอังกฤษ ผู้เขียนรู้แต่เพียงว่า รัฐบาลไทย ได้สั่งให้ทูตไทยประจำกรุงลอนดอน มาเคลียร์กับทางรัฐบาล อังกฤษเพื่อขอให้ปกปิดข่าว     
       ต่อมาจึงรู้เพิ่มเติมว่าทางการอังกฤษได้จับตัว คนที่ไปร่วมรับยาเสพติดกับหม่อมสุจาริณี ไว้หนึ่งคนซึ่งเป็นลูกสาวเจ้าของบริษัทไทยช๊อปเอาไว้  แต่ต่อมาได้ถูกทางการไทยขอให้ส่งตัวกลับมาเข้าเรือนจำในประเทศไทย แต่มาอยู่ได้ไม่กี่วัน ก็มีรถของสำนักพระราชวังมารับตัวที่เรือนจำ และหายไปจนกระทั่งทุกวันนี้ (คาดว่าถูกนำไปฆ่าปิดปาก)  
         และเรื่องที่มีการจับหม่อมสุจาริณีในลอนดอนนั้น ทางรัฐบาลไทยปิดข่าวไม่อยู่ มีการซุบซิบนินทากันทั้งประเทศ ทำให้สถาบันกษัตริย์ไทย ต้องออกมาแก้ข่าว โดยในปี 2539 สมเด็จพระบรมฯในขณะนั้น ได้ให้ทหาร   ติดใบประกาศรอบพระ ตำหนักนนทบุรี โดยกล่าวหาว่าสุจาริณีคบชู้กับพลอากาศเอกอนันต์ รอดสำคัญ ทหารอากาศวัย 60 ปี ตามมาด้วยการถอดยศทหารอากาศคนดังกล่าว ด้วยข้อหาผิดวินัยและหลบหนีคดีอาญา ส่วนสุจาริณีและลูกๆก็ถูกประกาศเนรเทศออกนอกประเทศไทย ทั้งถูกถอดจากฐานันดรศักดิ์ ขณะที่หม่อมเจ้าบุษย์น้ำเพชร มหิดล ลูกสาวองค์เล็ก ได้กลับสู่ประเทศไทยโดยอยู่ในการดูแลของสมเด็จพระบรมฯ มาจนทุกวันนี้  

ออกใบปลิวเบี่ยงเบนเรื่องยาเสพติด
    
                      อาศัยผลิตภัณฑ์สินค้าของบริษัทซูเลี่ยนและดอยคำยัดเฮโรอีนส่งออก

โสมซูเลี่ยน
          ต่อมา ในปี 2553 ในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โสมสวลีและทีมงานบริษัท Zhulin ที่เดินทางไปฝรั่งเศษด้วยสายการบินไทย ได้ถูกเจ้าหน้าที่สนามบินในประเทศฝรั่งเศส ตรวจพบเฮโรอีนยัดไส้อยู่ในผลิตภัณฑ์สินค้า ที่อยู่ในกระเป๋าเดินทางของทีมงานบริษัท Zhulin หลายใบ และยังพบเฮโรอีนในกระเป๋าของโสมเสาวลี ที่หมายเลขขั้วกระเป๋าตรงกับตั๋วเครื่องบินที่ระบุชื่อโสมเสาวลี ทำให้โสมเสาวลีและทีมงานบริษัท Zhulin ที่ไปด้วยกัน 30 คน ถูกตำรวจฝรั่งเศสจับตัวดำเนินคดีทั้งหมด ทำให้ในวันเดียวกัน ทูตไทยในฝรั่งเศสได้มาต่อรอง ขอให้ทางการฝรั่งเศส กักบริเวณโสมเสาวลีไว้ในสถานทูตไทย ในขณะที่มีการสอบสวน
        ต่อมาทูตไทยได้แจ้งไปยังรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น จึงส่งนาย กษิต ภิรมย์ รมต.ต่างประเทศ ให้รีบเดินทางไปฝรั่งเศส เพื่อไปแก้ตัวกับทางการฝรั่งเศสว่า เป็นเพราะเด็กติดต้นขั้วกระเป๋าผิดใบ พร้อมทั้งก่อนเดินทางไปอภิสิทธิ์สั่งให้ทีมงานของเนวิน ชิดชอบ ที่ดูแลการบินไทย จัดการแก้ไขทำลายหลักฐานในข้อมูลทั้งทางคอมพิวเตอร์และต้นฉบับพร้อมสำเนาผู้โดยสาร ที่เกี่ยวกับกระเป๋าสัมภาระให้เรียบร้อย อย่าให้โยงถึงครอบครัวของภูมิพลเป็นอันขาด โดยโยนความผิดไปให้ พนักงานลำเลียงกระเป๋าขึ้นเครื่อง อ้างว่าต้นขั้วที่ติดกระเป๋าหลุด ก็เลยหยิบมาแปะ โดยไม่ได้ตรวจให้ดีก่อน

สายพานลำเลียงกระเป๋าผู้โดยสาร
         ซึ่งยาเสพติดในล๊อตที่ถูกจับได้นี้ เป็นล๊อตที่ใหญ่มาก และทางการฝรั่งเศสก็คงไม่เชื่อในคำตอแหลของคนในรัฐบาลไทย ดังนั้นฝรั่งเศสจึงอนุญาตให้ประกันตัวกลับเมืองไทยได้เพียงสองคนคือโสมเสาวลีและนางขี้ข้า1คน  แต่ผู้ติดตามโสมสวลีและทีมงานบริษัท Zhulin ทั้ง 28 คน ยังติดคุกอยู่ในฝรั่งเศสจนกระทั่งบัดนี้  
     ในการประกันตัวตัวโสมสวลีกลับไทย และการปิดข่าวที่ฝรั่งเศสในครั้งนี้อีกเช่นกัน คาดว่าทางราชสำนักไทยต้องนำผลประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งไปแลกเปลี่ยนกับรัฐบาลฝรั่งเศษ
      และนี่เป็นเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น ที่ลูกหลานกษัตริย์ภูมิพลถูกจับได้จนตกเป็นข่าว แต่คงมีอีกหลายครั้งที่ สามารถเล็ดรอดการตรวจค้นไปได้
        ส่วนความเป็นมาของบริษัท Zhulin  เป็นบริษัทขายตรง ที่มีสาขาอยู่ทั่วโลก มีดร.ปิยะวัชร์ บุญยืนยงสกุล เป็นประธานบริษัท และมีโสมเสาวลีเป็นประธานที่ปรึกษา โดยโสมสวลีมักไปเปิดงาน แจกโล่ มอบรางวัล และทำกิจกรรมร่วมกับบริษัทนี้อยู่เป็นประจำ

ดร.ปิยะวัชร์ บุญยืนยงสกุล ประธานบริษัทซูเลี่ยน
        สำหรับบริษัทนี้ มีข้อสังเกตว่าน่าจะเป็นบริษัทที่เป็น “นอมินี” ให้กับสำนักงานทรัพย์สินส่วนกษัตริย์ เพราะบริษัท Zhulin เป็นบริษัทสัญชาติไต้หวัน ที่มีความเกี่ยวพันกับ ทหารกองพล 93 ที่มาค้ายาเสพติดอยู่ทางภาคเหนือของประเทศไทย โดยเป็นที่ทราบกันดีว่า กองพล 93 มีความสัมพันธ์กับกษัตริย์ภูมิพลมาอย่างยาวนาน
      และยังเป็นที่น่าสงสัยอีกว่า ดร.ปิยะวัชร์ บุญยืนยงสกุล เป็นเพียงประธานบริษัทขายตรงธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น แต่กลับได้รับยศตำแหน่งมากมายจากทางในวัง เช่น.- 
      รางวัล Hero of the year (2 ปีซ้อน) สาขานักบริหารและจัดการแห่งปี สาขาบริษัทขายตรงแห่งปีจากฯพณฯพลเอกพิจิตร กุลวณิชย์ องคมนตรี พ.ศ.2543-2544
      เครื่องราชอิสริยาภรณ์ เบญจมดิเรกคุณาภรณ์ ชั้นที่ ๕ จากพระบาทสำเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2551
      รางวัลองค์กรผู้ให้การสนับสนุนดีเด่น สภากาชาดไทย ปีพ.ศ.2548, พ.ศ.2549 และพ.ศ.2550 จากพระเจ้าวรวงค์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดามาตุ  ในงานเทียนส่องใจเทิดไท้พ่อแห่งแผ่นดิน
      รางวัล พระราชทานเทพทอง สำหรับองค์กรดีเด่น โดยพระบาทสมเด็จประเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าให้ ฯพณฯ พลอากาศตรีกำธน สินธวานนท์ องคมนตรีผู้แทนพระองค์มอบรางวัลเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2547
     รางวัลนักบริหารดีเด่น สาขาบริหารและพัฒนาองค์กร จาก ฯพณฯนายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรี เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2545
     รางวัลคนดีสังคมไทย  สาขาบริหารจัดการ โดยท่านคุณหญิงบุญเรือน  ชุณหวัณ เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2545   ซึ่งเป็นโล่ห์รางวัล มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
     ด้วยข้อมูลที่ยกมากล่าวอ้างนี้ จึงทำให้น่าเชื่อได้ว่า เฮโรอีนที่ทางการฝรั่งเศสจับได้นั้น เป็นเฮโรอีนในพระบรมราชูปถัมภ์ ที่อาศัยผลิตภัณฑ์ของบริษัท Zhulin ซึ่งเป็นบริษัทในเครือสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ส่งออก

คณะผู้บริหารบริษัทซูเลี่ยนโดยมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯเข้าถ่ายรูปกับเจ้าของบริษัทซูเลี่ยนตัวจริง
       นอกจากนี้ ในวันที่ 15 สิงหาคม 2557 ได้เกิดเรื่องอื้อฉาวขึ้นอีก เมื่อสื่อสารมวลชนในประเทศไต้หวันได้ลง  ข่าวการ 'จับเฮโรอีน ตราสิงโตเหยียบโลก' บรรจุในกล่อง 'ดอยคำ ของโครงการหลวง โดยบรรทุกไปกับสายการ  บินไทย!!!

เฮโรอีนส่งออก Brand ดอยคำ
         ภายหลังการสอบสวนพบว่ามีนาย Wu ชาวไต้หวัน เป็นคนส่งพัสดุจากประเทศไทยไปไต้หวัน โดยใช้สาย  การบินไทย เที่ยวบิน TG636 โดยในพัสดุระบุให้ส่งถึงนาย Zheng ที่เป็นผู้รับของปลายทาง แต่ทางเจ้าหน้าที่ยาเสพติดของไต้หวันสามารถสืบทราบได้ จีงติดตาม “พัสดุ” ชิ้นนั้น จนกระทั่งถึงจุดหมายปลายทางที่ไต้หวัน  ทำให้นาย Zheng ไหวตัวทันไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่ Supermarket ในบริเวณใกล้สนามบิน แต่ภายหลังก็ถูกจับได้  โดยเฮโรอินที่จับได้ในวันนั้น มีน้ำหนัก 6.3  กิโลกรัม อยู่ในกล่องพัสดุ ที่ใส่กล่อง “ดอยคำ”ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของโครงการหลวง

         ซึ่งในเรื่องนี้มีข้อน่าสังเกตว่า ในเที่ยวบินเดียวกันนี้ คือ TG636 ปรากฏว่า มีนางขี้ข้า ซึ่งเป็นข้าราชบริพาร 2 คน คือนางจรุงจิตต์ ทีขะระ และนางปิยาภัสร์ ภิรมย์ภักดี ได้เดินทางไปกับเที่ยวบินนี้ด้วย พอเฮโรอีนถูกจับ ทั้ง2 นาง ก็รีบเดินทางกลับในวันเดียวกัน (คงขวัญอ่อนเลยรีบหนีกลับ)

2 นางขี้ข้า รีบหนีกลับ
       ซึ่งทั้งหมดนี้ จึงเห็นได้ว่าเครือข่ายยาเสพติด ของสถาบันกษัตริย์ ได้พัฒนาขึ้นเป็นลำดับ โดยมีการปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย จากที่เคยร่วมมือกับ แฟลงก์ ลูคัส ยัดเฮโรอีนใต้โลงศพทหารอเมริกัน มาสู่การยัดใส่ในสินค้าขายตรงที่มีสาขาอยู่ในหลายประเทศ ซึ่งก็มีแต่วิธีนี้ที่สามารถนำเฮโรอีนไปขายในตลาดโลกได้

                                                   เมื่อคุณหญิงรู้ความจริ

         และมีอยู่ครั้งหนึ่งมีคนในระดับคุณหญิง(ขอปกปิดชื่อ)ท่านหนึ่ง ได้เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า ก่อนการรัฐประหารในปี 2549  ไม่นาน ท่านได้ไปรู้โดยมีหลักฐานบางอย่างว่า นายทหารผู้ติดตามสิรินธร ชื่อ พล.อ.คณิต เพิ่มทรัพย์ ซึ่งเป็นรองสมุหราชองครักษ์ และเป็นผู้ที่ติดตามสิรินธร ในการไปเยือนต่างประเทศทุกครั้ง เป็นนายพลที่ค้ายาเสพติด

พลเอก คณิต เพิ่มทรัพย์ (ยืนกลาง) นักค้าเฮโรอีนของ "สิรินธร"
          โดยก่อนที่สิรินธรจะเดินทางไปต่างประเทศทุกครั้ง นายพลคนนี้จะเป็นผู้ประสานงานกับทูตไทยใน ต่างประเทศ โดยให้ทูตประสานงานกับหน่วยงานของต่างชาติในประเทศนั้นๆ ให้ทำหนังสือเชิญสิรินธรไปเยือน   และในขณะเดียวกัน นายพลคนนี้ก็ติดต่อลูกค้าที่ต้องการยาเสพติดในประเทศนั้นๆด้วย โดยคุณหญิงท่านนี้มี ความเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจในขณะนั้นว่า นายพลทหารผู้นั้นเป็นผู้ค้ายาเสพติดเองโดยไม่เกี่ยวกับสิรินธร   
         ต่อมาคุณหญิงจึงได้ทำหนังสือเปิดโปงนายพลทหารค้ายานี้ โดยร้องเรียนไปยังพลเอกเปรม ติณนสูลานนท์ โดยทำไปแต่ละฉบับหนังสือก็ถูกตีกลับหมด จนต่อมา ท่านถูกทหารตามมาข่มขู่ถึงบ้าน และบอกว่าอย่ามายุ่งเรื่อง ยาเสพติดโดยเด็ดขาด รวมทั้งคนที่มาขู่ยังกล่าวหาว่าท่านเป็นคนวิกลจริต  
        แต่ถึงกระนั้นคุณหญิงท่านนี้ก็ยังไม่หยุดดำเนินการ ในปี 2549 ท่านได้ทำทุกวิถีทางจนหนังสือร้องเรียนฉบับนั้นไปถึงมือของนายกทักษิณ แต่นายกทักษิณก็ตอบกลับมาว่า เกินกำลังที่จะทำได้ จากนั้นไม่ถึงเดือน รัฐบาลของนายกทักษิณก็ถูกรัฐประหาร   
        พอมาถึงรัฐบาลของนายกสมัคร สุนทรเวช คุณหญิงท่านนี้ก็มีโอกาสได้บอกกล่าวกับนายกสมัคร ด้วย ตนเอง นายกสมัครจึงเร่งให้เอาเอกสารหลักฐานมาให้ แต่เมื่อนายกสมัครได้เห็นเอกสารแล้ว ท่านถึงกับอึ้งไปเลย  และไม่ได้พูดอะไรอีก เมื่อมาถึงตรงนี้คุณหญิงจึงรู้ได้ว่า สิรินธรต้องรู้เห็นเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติดด้วยแน่ ทั้งที่ ก่อนหน้านั้น คุณหญิงเชื่อมาโดยตลอดว่าสิรินธรไม่เกี่ยว จนทำให้คุณหญิงท่านนี้กลัวไม่กล้าเปิดเผยตัวในที่ สาธารณะและออกงานการกุศลอีกเลย

..มีต่อตอนที่ 8






















16 ความคิดเห็น:

  1. เอาเรื่องเท็จมาใส่ความกล่าวสถาบันฯแบบนี้จาบจ้วงไร้สาระเรื่องเท็จทั้งนั้นล่ะ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. เปิดใจบ้าง อย่าดูแต่ละครหลอกลิง

      ลบ
  2. มีหลักฐานมากว่าการกล่าวอ้าง.. มากกว่านี้ไหม

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. นายณรงค์ วงศ์วรรณ พ่อเลี้ยง (เจ้าพ่อเชียงใหม่) ก็ถูกผลักดัน จนเกือบได้เป็นนายก ถ้าไม่ถูก CIA เปิดโปงเสียก่อน (ยังกะหนัง 007)

      ลบ
  3. ไปต่อซิครับ รอไรอยากอ่านทั้ง2ฝ่าย

    ตอบลบ
  4. ไม่อยากจะเชื้อเลยคัฟ แต่อ่านและวิเคาร์จริงๆ ก็มีทางเป็นไปได้อยู่ เพราะประเทศไทย จับยังไงก็ไม่หมด แล้วของกล้าไปไหนต่อ ก็ไม่รู้ ถ้ามีหลักฐานที่แน้นหนา และจริงแท้ เป็นความจริง 100% นี้นะ ประชาชนคนไทยจะทำยังไงกัน

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ตรวจสอบเส้นทางการเงิน และสอบปากคำชาวเขา

      ลบ
  5. แต่ก่อนกุคงไม่เชื่อ แต่ตอนนี้ บอกเลย.... มิน่าถึงได้รวยสุดในโลก

    ตอบลบ
  6. นิทานหลอกเด็ก. หลักฐานก็ไม่มี เขียนมาลอยๆแบบนี้ ไม่เช่ือจ้า

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. หลักฐานมีเพียบเลย (ถ้าจะวิเคราะห์ตาม) .. แต่การที่เราปิดใจ ย่อมปิดกั้นแสงสว่างแห่งความจริง ฉันใด!!
      ย่อมเหมือนกับที่ แสงมิอาจ เล็ดลอดเข้ามาสู่ในกะลาที่คว่ำไว้อยู่ฉันนั้น

      ลบ
  7. แอสโคบา รวยที่สุดในโลกยุคนึง รวยแล้วยังไม่เลิก เพราะเขามั่นใจในฐานะ และอำนาจ เกิดจากความไม่พอ ที่ไม่มีที่สิ่นสุดของมนุษย์ ตามหลักของนักจิตวิทยา มาส์โลว์

    ตอบลบ
  8. ต่อจิ๊กซอร์ก็จะตาสว่างวาบๆ

    ตอบลบ
  9. ผมว่าสำหรับคนที่ไม่เคยทราบเรื่องนี้มาก่อน แล้วเข้ามาอ่าน แทนที่คุณน่าจะคิดในมุมบวกก็คือการไปค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเองว่าที่เค้าเขียนบทความอันนี้มันจริงหรือไม่ แล้วถ้าคุณหาข้อมูลเจอในมุมแย้งก็ค่อยมาพูดว่าไม่จริงจะดีกว่ามั้ย อีกอย่างผมมองว่าผู้เขียนบทความนี้ คงไม่มีเวลาว่างที่จะมาแต่งนิยายหรอก

    ตอบลบ
  10. ได้ยินมาตั้งนานแล้ว และคนไทยหลายคนก็รู้แต่เงียบ ไม่มีอยากเอาเรื่องแบบนี้ออกมาพูด ทั้งที่มันเป็นเรื่องจริง

    ตอบลบ
  11. อ่านไปก็น่าคิด เนื่องจากว่า ร.9 ที่ว่าขึ้นไปบนดอยทำงานมาหลายปี แต่ทำไมเด็กดอยบอกว่าไม่รู้จักโทรทัศน์ ทั้งๆที่ขึ้นไปดูแลเองประมาน20ปีเป็นอย่างน้อย น่าคิดไหม

    ตอบลบ

                                            สิ่งปนเปื้อนในพุทธศาสนา พุทธโควิท บทความโดย: นายพิษณุ พรหมสร เผยแพร่: 4 กุมภาพันธ์ 2566 ถ้าบอกตั...