สถาบันกษัตริย์กับการค้ายาเสพติด
เผยแพร่ครั้งแรก 30 กรกฎาคม 2557
ในชื่อหัวข้อ ”เส้นทางยาเสพติดของลุงสมชาย”
แก้ไขอัพเดทเพิ่มเติมครั้งที่1....
12 กันยายน 2560 ในชื่อหัวข้อ
“สถาบันกษัตริย์กับการค้ายาเสพติด”
ตอนที่ 3
วิธีการควบคุมกองทัพของกษัตริย์ภูมิพล
และถึงแม้ว่ากษัตริย์ภูมิพลจะสนับสนุนจอมพลสฤษดิ์ ให้กำจัดจอมพล ป. พิบูลย์สงคราม ศตรูคู่แค้นไปได้แล้วก็ตาม แต่หากปล่อยให้จอมพลสฤษดิ์ มีอำนาจเผด็จการมากจนเกินไป และหากกองทัพมีเอกภาพ มันก็จะทำให้เป็นภัยอันตรายต่อความมั่นคงของสถาบันกษัตริย์ เพราะทหารมีปืน
ดังนั้นต่อมา กษัตริย์ภูมิพลจึงกำจัดจอมพลสฤษดิ์ โดยฉวยโอกาสในตอนที่จอมพลสฤษดิ์ กำลังบ้าอำนาจ ด้วยการเรียกไปพบ และใส่ยาพิษในอาหารให้กิน จนทำให้จอมพลสฤษดิ์ ต้องตายในขณะที่ยังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี .. นี่คือความน่ากลัวของภูมิพล
วางยาแล้วไปเยี่ยม (นี่คือความโหดเหี้ยมของภูมิพล) |
ซึ่งวิธีการในการควบคุมทหารในกองทัพของกษัตริย์ภูมิพล เพื่อให้มาปกป้องสถาบันกษัตริย์ด้วยความ จงรักภักดีนั้น ภูมิพลก็ต้องใช้หลากหลายวิธีการ เช่น การล้างสมองทหารในกองทัพด้วยแผนปฏิบัติการทาง จิตวิทยาที่ถูกกำหนดให้สอนในโรงเรียนนายร้อย จปร.และโรงเรียนในสังกัดของทหาร “และที่สำคัญคือการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กับทหารด้วยวิธีการต่างตอบแทน” เช่นกษัตริย์จะใช้อำนาจและบารมีของตนไป ปกป้องสนับสนุนทหารในด้านต่างๆ รวมทั้งการให้เกียรติยศ ด้วยเครื่องราชอิสริยาภรณ์ หรือเหรียญตราต่างๆ รวมทั้งช่วยเหลือให้ได้ตำแหน่งที่สำคัญทางทหาร ส่วนทหารก็ต้องตอบแทนกษัตริย์ ด้วยการที่ใช้อาวุธและอำนาจ ของตัวเองที่มีอยู่ในมือ เอามาปกป้องสถาบันกษัตริย์ด้วยความจงรักภักดีอย่างไม่มีข้อแม้ ...
แต่การสนับสนุนคนที่มีอาวุธอยู่ในมือ ภูมิพลรู้ดีว่า มันเป็นดาบสองคม ... ดังนั้นภูมิพลจึงต้องมีวิธีการอื่นๆ เพื่อเอามาควบคุมทหารให้อยู่ใต้อำนาจ เพื่อความปลอดภัยในราชบัลลังก์อีกชั้นหนึ่งด้วย เช่น การเอาเส้นผมของ ตัวเองไปไว้รวมกับพระยอดธง โดยเอาไปใส่ไว้ที่ส่วนยอดของธงชัยเฉลิมพล จากนั้นก็ใช้ทั้งพิธีพราหมณ์และพิธี พุทธปลุกเสก แล้วก็เอาไปแจกให้กับทหารทุกกรมกองทั้ง 3 เหล่าทัพ เพื่อให้ทหารมีความจงรักภักดี
มอบธงชัยเฉลิมพลให้กับทุกเหล่าทัพ |
ซึ่งวิธีการอันเลวทรามนี้ มันทำให้ประชาชนไม่คิดที่จะปกป้องในสิทธิและเสรีภาพของตนเอง แต่กลับไปคลั่งไคล้บ้าคลั่งในระบอบกษัตริย์ จนทำให้แม้กระทั่งสัตว์เดรัจฉานที่กษัตริย์ภูมิพลเลี้ยงไว้เป็นสุนัขที่ชื่อทองแดง ก็ยังมีผู้คนบ้าคลั่งนับถือ โดยใช้คำนำหน้าเรียกชื่อเดรัจฉานตัวนี้ว่าคุณ และจะเป็นการตั้งใจหรือไม่ ก็ไม่ทราบได้ เพราะชื่อ ทองแดง นั้น บังเอิญคำนำหน้าไปตรงกับชื่อเดิมของปฐมกษัตริย์ราชวงศ์จักรีที่ชื่อ ทองด้วง ส่วนกษัตริย์ภูมิพลมีชื่อเล่นว่าเล็ก
สายพันธ์ ตระกูลทอง |
ซึ่งการยกย่องสุนัขนี้ ทำให้ประชาชนหลายคนที่โง่เขลาถึงขนาดกราบไหว้สัตว์เดรัจฉาน
จนทำให้เป็นที่น่าอนาถต่อผู้พบเห็นเป็นยิ่งนัก รวมทั้งเมื่อสัตว์เดรัจฉานตัวนี้ได้ตายลงไปแล้ว
ก็ยังมีการประกอบพระราชพิธีศพอย่างใหญ่โต รวมทั้งมีการสร้างอนุเสาว์รีย์เพื่อให้ประชาชนเคารพบูชาอีกด้วย
โดยมีการนำเถ้ากระดูกของเดรัจฉานตัวนี้ แบ่งไว้เป็น 3 ส่วน ส่วนที่ 1 นำมาบรรจุไว้ที่ฐานอนุสาวรีย์คุณทองแดง
ภายในศูนย์รักษ์สุนัขหัวหิน ส่วนที่ 2 นำไปลอยทะเลหัวหิน
บริเวณหน้าวังไกลกังวล และส่วนที่ 3 บรรจุไว้ในผอบแก้ว
เก็บรักษาไว้ในวังไกลกังวล
กราบไหว้บูชาหมา |
ส่วนไอ้ฟูฟูสุนัขทรงเลี้ยงของกษัตริย์ตัวใหม่
ก็ยังมีการตั้งแท่นให้ประชาชนแสดงความเคารพไม่แพ้สุนัขของกษัตริย์องค์เก่า
พระองค์เจ้า ฟูฟู |
การใช้นโยบายแบ่งแยกแล้วปกครอง
ตามที่ได้กล่าวไว้ในข้างต้นว่า สถาบันกษัตริย์จะปล่อยให้กองทัพจะมีความมั่นคงไม่ได้ เพราะถ้ากองทัพมี ความมั่นคงจนเกินไปก็จะทำให้ทหารมีอำนาจต่อรองสูง ซึ่งถ้าวันใดกองทัพเกิดมีเอกภาพ แล้วมาต่อรอง หรือไล่กษัตริย์ให้ ไปอยู่ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ เหมือนกับเหตุการณ์ในปี พ.ศ 2475 ที่ทหารในกองทัพร่วมกับท่านปรีดี พนมยงค์ ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จนกษัตริย์รัชกาลที่ 7 ต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ
ซึ่งเรื่องนี้กษัตริย์ภูมิพลจะยอมให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกไม่ได้ ดังนั้นถึงแม้ว่าทหารและกองทัพจะมี ความสำคัญในการปกป้องสถาบันกษัตริย์ก็ตาม แต่ทหารก็พร้อมที่จะหันกลับมาทำลายสถาบันกษัตริย์ได้
ดังนั้นกษัตริย์ภูมิพลจึงต้องทำทุกวิถีทางในการที่ต้องทำให้ทหารในกองทัพมีความแตกแยกไม่ไว้ใจซึ่งกันและ กัน โดยต้องทำให้สถาบันกองทัพไม่มีเอกภาพ ซึ่งวิธีการแบบนี้เรียกว่า”การแบ่งแยกแล้วปกครอง” หรือการที่ ทำให้สถาบันที่ตัวเองต้องการเข้าไปควบคุมเกิดการแตกแยกกันเสียก่อน จากนั้นจึงเข้าไปเข้าไปปกครอง และ วิธีการนี้กษัตริย์ภูมิพลก็ไม่ได้ใช้กับสถาบันกองทัพเพียงแห่งเดียวเท่านั้น แต่ยังใช้กับสถาบันอื่นๆในประเทศไทยด้วย เช่น การเข้าไปแทรกแซงในสถาบันศาสนา แซกแซงสถาบันการศึกษาของชาติ รวมทั้งองค์กรและสถาบันอื่นๆ ที่อยู่ในการควบคุมดูแลของรัฐบาล ฯลฯ
ซึ่งวิธีการที่จะทำให้สถาบันกองทัพไม่เป็นเอกภาพนั้น ภูมิพลจะเข้าไปสนับสนุนอย่างออกหน้ากับนายพลคนใดคนหนึ่งที่กำลังมีอำนาจในกองทัพ และในขณะเดียวกันก็ใช้ให้ราชินีสิริกิติ์ เข้าไปสนับสนุนนายพลคนอื่น ของอีกขั้วอำนาจหนึ่งในกองทัพด้วย ทั้งนี้ก็เพราะต้องการ ที่จะคานอำนาจไม่ให้ทหารคนใดคนหนึ่งในกองทัพ มีอำนาจ มากจนเกินไป หรือถ้าทหารต่างขั้วอำนาจในกองทัพ เกิดการต่อสู้แย่งอำนาจกันเองจนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แต่สถาบันกษัตริย์ก็จะไม่พ่ายแพ้ไปด้วย เพราะสถาบันกษัตริย์ได้ถือหางทั้งสองฝ่ายไว้แล้ว
ตัวอย่างเช่น ในช่วงที่กษัตริย์ภูมิพลเลือกสนับสนุน พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ อยู่นั้น พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก ซึ่งคุมกำลังในกองทัพอีกขั้วอำนาจหนึ่ง ก็เกิดมีอำนาจบารมีเคียงคู่ พลเอกเปรมขึ้นมา จึงทำให้ราชินีสิริกิติ์ ต้องไปสนับสนุน พลเอกอาทิตย์ ด้วย เพื่อคานอำนาจ และต่อมาพลเอกเปรมก็ร่วมมือกับกษัตริย์ภูมิพล ปลด พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก ออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก เพราะพลเอกอาทิตย์ เริ่มสร้างฐานอำนาจของตัวเองในกองทัพแข่งกับพลเอกเปรม และวัง
ภูมิพลไม่ไว้ใจพลเอกอาทิตย์ |
ต่อมามีนายทหารกลุ่ม
จปร.7
ซึ่งรวมตัวกันได้อย่างเหนียวแน่น จนทำให้มีเอกภาพมาก
โดยตั้งชื่อกลุ่มตัวเองว่า ยังเติร์ก ได้พยายามยึดอำนาจจากพลเอกเปรม ในวันที่ 1เมษายน 2524
ทำให้พลเอกเปรม ต้องแก้ไขสถานการณ์โดยสามารถหนีออกจากการควบคุมตัวของนายทหารกลุ่ม จปร. 7 ไปพาครอบครัวของกษัตริย์ภูมิพลเป็นตัวประกันหนีไปโคราชได้สำเร็จ...จนทำให้การยึดอำนาจของ จปร. 7 โดยกลุ่มยังเติร์กในครั้งนั้นต้องล้มเหลว ฯลฯ
เหตุการณ์ 1 เมษายน 2524 |
สรุปว่าในช่วงชีวิตของกษัตริย์ภูมิพลเขาเป็นผู้ชนะทางการเมืองมาโดยตลอด
ถึงแม้ว่าจะมีบางช่วงที่ภูมิพลไม่สามารถควบคุมทหารได้ ก็เป็นเพียงในระยะสั้นๆ
เพียง 3
ระยะเท่านั้น คือระยะแรก ไม่สามารถควบคุมกองทัพในยุคของจอมพล ป.
พิบูลย์สงคราม และช่วงที่สองคือไม่สามารถควบคุมกองทัพในสมัยจอมพลถนอม กิตติขจร ส่วนในระยะที่สาม
ไม่สามารถหยุดการเจริญเติบโตอย่างมีเอกภาพของทหารกลุ่ม จปร.7 ที่เรียกว่ากลุ่มยังเติร์กได้ แต่ในที่สุดทหารทั้ง 3 กลุ่ม ก็ถูกกษัตริย์ภูมิพลกำจัดไปจนได้
เมื่อกษัตริย์ภูมิพลสามารถกำจัดทหารทั้ง 3 กลุ่มได้แล้ว สถาบันกษัตริย์ก็สามารถควบคุมกองทัพเอาไว้ในมือได้ ซึ่งวิธีการควบคุมทหารในกองทัพนั้น ภูมิพลก็ยังใช้วิธีการเดิม คือการ”แบ่งแยกแล้วปกครอง” โดยตัวกษัตริย์ภูมิพลก็เข้าไปเป็นผู้ก่อตั้งและควบคุม”ทหารสายวงศ์เทวัญ” ส่วนราชินีสิริกิติ์ ก็เข้าไปเป็นผู้ก่อตั้งและควบคุม”ทหารสายบูรพาพยัคฆ์ “
สร้างฐานอำนาจทางการเงิน
เมื่อภูมิพลได้วางรากฐานในการควบคุมกองทัพไว้แล้ว ภูมิพลยังได้วางแผนควบคุมประเทศในทางการปกครองอีกด้วย โดยให้องค์มนตรีทั้ง 18 คน อ้างโครงการหลวง หรืออ้างโครงการพระราชดำริ โดยทำตัวให้เหมือนกับเป็นรัฐมนตรี โดยแบ่งกันรุกคืบเข้าไปแทรกแซง สั่งการสถาบันหลักของชาติทั้ง 3 สถาบัน คือสถาบันบริหาร สถาบันนิติบัญญัติ และสถาบันตุลาการ รวมทั้งสถาบันและองค์กรอื่นๆที่รัฐบาลเป็นผู้กำกับดูแล ทำให้ประเทศไทยมี"รัฐบาลซ้อนรัฐบาล"มาโดยตลอด และผลจากการแทรกแซงอย่างต่อเนื่องนั้น ทำให้ต่อมารัฐบาลของกษัตริย์ภูมิพลมีอำนาจสั่งการได้เหนือกว่า รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ทุกรัฐบาล
ภูมิพลและคณะองคมนตรี คือรัฐบาลตัวจริงที่เป็นรัฐบาล ซ้อนรัฐบาล โดยแทรกแซงการเมืองไทยมาโดยตลอด |
แต่การรุกคืบของกษัตริย์ภูมิพลในช่วงแรกนั้น ต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก
ดังนั้นภูมิพลจึงต้องเร่งสร้างฐานอำนาจทางการเงิน เพราะการชิงอำนาจของกษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์กลับคืนมา
โดยสานต่อความพยายามของรัชกาลที่ 7 ที่ทำไม่สำเร็จนั้น มันไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องซ่อนอำนาจของกษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ให้อยู่ในรูปแบบของระบอบประชาธิปไตยต้องทำอย่างแนบเนียน
และต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก เพราะในช่วงแรกที่ภูมิพลขึ้นมาเป็นกษัตริย์ใหม่ๆนั้น อำนาจและบารมีก็ยังมีไม่มาก
ทำให้ยังไม่สามารถเบียดบังเงินงบประมาณของแผ่นดินมาใช้ประโยชน์ได้ จึงทำให้ภูมิพลต้องหาเงินจากแหล่งอื่น
ที่มาของการค้ายาเสพติดในพระบรมราชูปถัมภ์
และจากการที่ได้กล่าวไว้ในเบื้องต้นว่า ครอบครัวมหิดลได้ไปอยู่ต่างประเทศเสียนาน ทำให้อำนาจและบารมีรวมทั้งเงินทองก็ยังมีน้อย และโดยธรรมชาติ คนในสถาบันกษัตริย์ก็ทำมาค้าขายไม่ค่อยจะเป็นอยู่แล้ว ดังนั้นการที่จะทำธุรกิจใดๆเพื่อหาเงินมาเพื่อสร้างฐานอำนาจและบารมี จึงไม่ใช่เรื่องง่าย
เมื่อเป็นดังนั้น วิธีการที่จะอาศัยอำนาจและบารมีของกษัตริย์ หาเงินมาได้อย่างไม่ยาก ก็มีอยู่ทางเลือกเดียวคือ “การค้ายาเสพติด”
ซึ่งการค้ายาเสพติดของตระกูลมหิดลนั้น จริงๆแล้วมีจุดเริ่มต้นมาจากพระชนนีศรีสังวาล ซึ่งผู้เขียนต้องขอย้อนกลับไปอธิบายในความเป็นมา ดังนี้.-
ในช่วงหลังจากที่สมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม (พ่อรัชกาลที่ 8-9) ตายในปี พศ. 2472 นั้น ทำให้สมเด็จพระชนนีศรีสังวาล ซึ่งขณะนั้นเป็นหม้ายสาวพราวเสน่ห์ในวัยเพียง 29 ปี ที่ยังมีความกำหนัด เริ่มมองหากิ๊กใหม่ในช่วงที่ในหลวงรัชกาลที่ 8 และอนุชาภูมิพลกำลังเรียนอยู่ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยกิ๊กใหม่คนนี้มีฐานะเป็นครูส่วนพระองค์ของในหลวงรัชกาลที่ 8 และอนุชาภูมิพล ที่ชื่อมร.ลีซองดร์ เซ.เซไรดารีส Lysandre C Seraidaris เชื้อสายกรีซ
กิ๊กใหม่สังวาล (พ่อเลี้ยงภูมิพล) |
ซึ่งมร.ลีซองดร์ เซ.เซไรดารีส นอกจากจะเป็นครูส่วนพระองค์ฯแล้ว
ยังเป็นที่ปรึกษาอย่างใกล้ชิดของพระชนนีศรีสังวาลอีกด้วย
กิ๊กใหม่พาครอบครัวสังวาลเที่ยว |
และหนึ่งในคำที่ปรึกษาที่พระชนนีศรีสังวาลนำกลับมาสยามประเทศพร้อมกับการเสด็จกลับมาของในหลวงรัชกาลที่
8
ก็คือความรู้ที่ว่า โรงพยาบาลทุกแห่งในประเทศสหรัฐอเมริกาและยุโรป
มีความต้องการมอร์ฟีนที่สกัดมาจากฝิ่นเป็นอย่างมากบวกกับความรู้ที่พระชนนีศรีสังวาลเคยเรียนพยาบาลใน
ต่างประเทศ และผัวเก่าสมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม ก็เคยเป็นแพทย์ประจำอยู่ในโรงพยาบาลทั้งในยุโรปและโรงพยาบาลแม็คคอมิกของสหรัฐอเมริกาที่อยู่ในในเชียงใหม่
จึงทำให้พระชนนีศรีสังวาลรู้ถึงความต้องการของโรงพยาบาลต่างๆทั่วโลกดีว่า ต้องการมอร์ฟีนมาก
ดังนั้นจึงเห็นด้วยที่มร.ลีซองดร์ เซ.เซไรดารีส แนะนำให้ผลิตมอร์ฟีนส่งไปขายในโรงพยาบาลทั้งสหรัฐและยุโรป
และมอร์ฟีนก็คือก้าวแรก ก่อนที่ครอบครัวมหิดลจะพัฒนาไปสู่การค้ายาเสพติดชนิดอื่นๆ
เมื่อครอบครัวมหิดลวางแผนจะสร้างฐานอำนาจทางการเงิน
ด้วยการเริ่มค้ามอร์ฟีนแล้ว ผู้เขียนก็ต้อง อธิบายถึงแหล่งที่มาของวัตถุดิบในการผลิตมอร์ฟีนและยาเสพติดชนิดอื่นๆ
เพื่อให้ทราบว่ากษัตริย์ ภูมิพลได้เริ่มเข้าไปเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติด จากจุดไหน?
.. มีต่อตอนที่ 4
.. มีต่อตอนที่ 4
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น