บทความ: สถาบันกษัตริย์กับการค้ายาเสพติด ตอนที่ 8 ยาเสพติด ขบวนการมาลีปา เส้นทางที่ 3 ตอบแทนผู้ค้ำบัลลังก์

                                                สถาบันกษัตริย์กับการค้ายาเสพติด   

บทความโดย พิษณุ พรหมสร Anti

เผยแพร่ครั้งแรก                    30 กรกฎาคม 2557  ในชื่อหัวข้อ ”เส้นทางยาเสพติดของลุงสมชาย”   

แก้ไขอัพเดทเพิ่มเติมครั้งที่1.... 12  กันยายน 2560   ในชื่อหัวข้อ “สถาบันกษัตริย์กับการค้ายาเสพติด”

                                                                ตอนที่ 8                               

                            ยาเสพติด ขบวนการมาลีปา เส้นทางที่ 3 ตอบแทนผู้คำบัลลังก์
  
   เข้ามาทางดอยอ่างขาง ลงสู่ เวียงแหง-เชียงดาว-แม่แตง-แม่ ริม..

                                      ตอบแทนผู้ค้ำบัลลังก์ ด้วยการเปิดทางให้ค้ายาเสพติด

      ฝิ่นดิบ-เฮโรอีนและยาบ้าจากกลุ่มโกกั้ง ในเส้นทางนี้ มาจากทางผ่านยาเสพติดเส้นทางเดียวกันกับเส้นทาง ที่ 2 คือเข้ามาทางโครงการหลวงในดอยอ่างขาง จากนั้นก็ลงสู่ อ.เวียงแหง–อ.เชียงดาว-อ.แม่แตง และ อ.แม่ริม

      ในเส้นสายทางนี้ ทางวังเปิดโอกาสให้เป็นผลประโยชน์ของนายทหารสายราชสำนักโดยเฉพาะกลุ่มจงรักภักดีสายราชนิกุลจึงได้รับพระมหากรุณาธิคุณให้ควบคุมกองทัพภาค 3 เพื่อการให้ผลประโยชน์ตอบแทนกองกำลังความมั่นคงแห่งระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ใหม่ ด้วยการควบคุมภาคเหนือตอนบนที่มีผลประโยชน์และความจงรักภักดีเป็นเงื่อนไข ซึ่งรวมทั้ง นักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์ และตำรวจภูธร ภาค 5 และเครือข่าย

      โดยและยาเสพติดเส้นทางนี้ ราชินีสิริกิติ์ก่อนป่วย ได้เป็นผู้ดูแลจัดสรร แบ่งบันผลประโยชน์ด้วยตัวเอง ส่วนการช่วยเหลือเมื่อมีคนในขบวนการถูกจับ ทางวังก็ได้จัดให้ องคมนตรีที่เป็นอดีตประธานศาลฎีกาทั้ง 4 คน คือนายชาญชัย ลิขิตจิตถะ นายจำรัส เขมะจารุ นายอรรถนิติ ดิษฐอำนาจ และนายศุภชัย ภู่งาม เป็นคนสั่งการไปยังอธิบดีผู้พิพากษาในชั้นต่างๆ เพื่อช่วยให้พ่อค้ายาเสพติดในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้พ้นผิด

สภาพความเป็นจริงของศาลไทย

                            พ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่เมื่อถูกจับได้จะถูกช่วยให้รอดหมด

      ถ้าสังเกตกันให้ดีๆ ประเทศไทยในรอบ 50 ปีมานี้ ผู้ค้ายาเสพติดที่ติดคุก ในบทลงโทษตามบทบัญญัติของกฎหมาย ก็จะมีแต่ผู้ค้ายาเสพติดรายย่อยเท่านั้น ส่วนผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่ทุกราย ขอย้ำว่าทุกราย  เมื่อพลาดถูกจับได้ก็จะหนีรอดจากคุกไปได้ทุกคน บางคนถึงขนาดหายตัวไปจากโรงพักเลยก็มี นับว่าพ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ทุกคน มีพระบารมีคุ้มเกล้าเป็นที่ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ อย่างหาที่สุดมิได้

        สำหรับยาเสพติดในเส้นทางสายที่ 3 นี้ เคยมีนายตำรวจสายวัง ที่มีทั้งอำนาจ และอิทธิพลในตำรวจภูธรภาค 5 ลำเลียงยาเสพติด สู่จังหวัดลำปาง ผ่านขบวนการของ อดีต.สจ.ออด หรือนายพนม ทรัพย์เอนก 

สจ.ออด หรือนายพนม ทรัพย์เอนก

        โดยใช้รถตราโลห์ของตำรวจ และรถของนายพนมที่เป็นเจ้าของกิจการขนส่ง หจก.ลำปางรุ่งเรืองทรานสปอร์ต เป็นรถขนยา จากนั้นก็จะประสานกับ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็น ส.ส.ภาคใต้  โดยยาเสพติดที่มาจากภาคเหนือจะมาสิ้นสุดที่จังหวัดสุราษฏร์ธานี โดยยาเสพติดจะถูกขนมาพักรวมไว้ที่ “ร้านอาหารเพื่อนเดินทาง”และปั๊มน้ำมันที่อยู่ใกล้กัน  ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับสวนโมกขพลาราม

       ข้อสังเกตในกรณี สจ.ออดหรือนายพนม ทรัพย์อเนก ที่ได้ร่วมกันค้ายาเสพติดกับนายเล่าต๋า แสนลี่ อดีตลูกน้องคนสนิทของนายจาง ซี ฟู หรือขุนส่า ราชาเฮโรอีนระดับโลก รวมทั้งลูกชายของนายเล่าต๋าอีกสองคน  ได้เคยถูกจับเป็นจำเลย ในความผิดฐานร่วมกันค้ายาเสพติด เหตุเกิดเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2544 ถึงปลายปี 2546 แต่ทั้งศาลชั้นต้น ชั้นศาลอุทธรณ์ และศาลฏีกา ได้ตัดสินยกฟ้องคนเหล่านี้ทั้งหมด ทั้งที่มีพยานและหลักฐานมัดคนเหล่านี้แน่น  ทำให้นายเล่าต๋า แสนลี่ และครอบครัวได้ใจกลับไปค้าเฮโรอีนอีก

เล่าต๋า ดีใจเมื่อศาลในพระบรมราชูปถัมภ์สั่งปล่อยตัว

      จนกระทั่งในวันที่ 11 ตุลาคม 2559 นายเล่าต๋า ได้ถูกตำรวจเชียงใหม่จับได้อีกครั้ง คราวนี้ทั้งครอบครัวเลย ที่ ปั๊มน้ำมันคาลเท็ก หมู่ที่ 12 ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ จากการตรวจค้นพบยาไอช์จำนวน 20 กิโลกรัม และเงินสดจำนวน 11 ล้านบาท พร้อมอาวุธปืนอีกจำนวนกว่า 10 กระบอก

เล่าต๋า เสียใจ เพราะจะต้องเสียเงินติดสินบนให้ศาลอีก

                                                       ยาเสพติดกับสุเทพ เทือกสุบรรณ

       อีกอีกคดีหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นเมื่อสิบกว่าปีก่อน คือญาติสนิทของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ชื่อนายณรงค์ เสมียนเพชรที่เป็นเจ้าของร้านอาหารเพื่อนเดินทาง เป็นประธานวัฒนธรรมอำเภอไชยาและไวยาวัจกรวัดธารน้ำไหล (สวนโมกข์)และยังเป็นเจ้าของปั๊มน้ำมันใกล้สวนโมกขพลาราม และยังเป็นเจ้าของอีกหลายแห่งเช่น รีสอร์ - โรงแรม รวมทั้งสวนปาล์มในจังหวัดสุราษฎร์ธานี  

นายณรงค์ เสมียนเพชร ญาติสนิท นายสุเทพ เทือกสุบรรณ

       ได้ถูกตำรวจแกะรอยตามจับยาเสพติดได้ที่ร้านเพื่อนเดินทาง และในขณะที่ญาตินายสุเทพถูกควบคุมตัวอยู่ในโรงพัก ได้มีสส.ของพรรคประชาธิปัตย์สองคนคือนายชำนิ ศักดิ์เศรษฐ และนายเทพไท เสนพงศ์ มาติดต่อกับตำรวจ จากนั้นตำรวจก็เปลี่ยนหลักฐานจากยาเสพติด ให้เป็นแป้งมันสัมปะหลังแทน ทั้งที่ของกลางที่ตำรวจจับได้ในร้านอาหารก็เป็นยาเสพติด  ทำให้ญาตินายสุเทพ รอดตัวไปได้

      แต่คนในพื้นที่จะทราบกันดีว่า ร้านอาหารเพื่อนเดินทางและปั๊มน้ำมันที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณและญาติเป็นเจ้าของ คือศูนย์กลางของการกระจายยาเสพติด ในจังหวัดสุราษฎร์ธานีและในจังหวัดใกล้เคียง ส่วนการค้ายาในปัจจุบันนายณรงค์ เสมียนเพชร ได้ให้ลูกน้องคือผู้ใหญ่หยัด เป็นคนดูแลแทน ส่วนตัวเองก็จะออกงานการกุศลสร้างภาพ

ร้านอาหารเพื่อนเดินทาง

            และยังมีอีกคดีหนึ่งที่ทางตำรวจได้จับตัวนายอูลริค วูล์ฟกังพ่อค้ายาเสพติดระดับโลกอีกรายได้ที่พัทยาเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2549  โดยก่อนที่ตำรวจพัทยาจะนำตัวนายอูลริค ไปฟ้องศาล นายอูลริค วูล์ฟกัง ก็หายตัวไปจากโรงพักอย่างไร้ร่องรอย สำหรับคดีนี้ตำรวจที่เกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของนายอูลริค วูล์ฟกัง มีข่าวว่าได้ถูกลงโทษ แต่จริงๆแล้วไม่มีใครถูกลงโทษเลย เป็นเพียงข่าวเพื่อหลอกประชาชนเท่านั้น และนายตำรวจเหล่านั้นมี ข่าวว่าได้เงินไปคนละหลายล้านบาท

                       ยาเสพติดส่งเข้ามาเลเซีย และความร่ำรวยของสส.พรรคประชาธิปัตย์

        ยาเสพติดสายนี้บางส่วนได้ถูกส่งเข้าประเทศมาเลเซีย ที่ ต.มูโน๊ะ อ.สุไหโกลก จังหวัดนาราธิวาส มี ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ นายสุรเชษฐ แวอะแซ 

นายสุรเชษฐ แวอะแซ

        และน้องชายนายสุรเชษฐที่ชื่อนายอาซิ แวอะแซ โดยคนผู้นี้ยังเป็นหัวหน้ากลุ่มกองกำลังติดอาวุธอีกด้วย เป็นกลุ่มที่คุ้มครองการลำเลียงทั้งยาเสพติด อาวุธสงคราม รวมทั้งน้ำมัน เถื่อน จากนั้นก็ประสานงานในการขนส่ง โดยร่วมมือกับ รถของห้องเย็น แพปลาสมบัติ ในจังหวัดปัตตานี 

แพปลาสมบัติ ปัตตานี

        และยาเสพติดสายของนายสุรเชษฐ แวอะแซนี้ ได้ถูกขายกันในบริเวณสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และจังหวัดสงขลา และพ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่อีกคนหนึ่งในเขตนี้ มีชื่อว่านายเส่ง มีตำแหน่งเป็น สจ.นาราธิวาส ในปี 2553

     ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ เช่นนายนายอภิชาติ สุภาแพ่ง ส.ส.เพชรบุรี และ ส.ส.ส่วนใหญ่ในภาคใต้ล้วนร่ำรวยมาจากการค้ายาเสพติด เช่นนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ นายถาวร เสนเนียม นายชำนิ ศักดิ์เศรษฐ นายเทพไทย เสนพงษ์ นายสุรเชษฐ แวอะแซ นายนิพนธ์ บุญญามณี ฯลฯ โดย สส.พวกนี้ ที่มีกิจการค้าเป็นของตัวเองในธุรกิจอื่นๆ ก็ล้วนได้เงินทุนมาจากการค้ายาเสพติดและของเถื่อนทั้งสิ้น  เช่นนายนิพนธ์ บุญญามณี ที่มีโรงงานผลิตปลาโอใหญ่โต และเป็นเจ้าของทีมฟุตบอลสงขลายูไนเต็ด 

สุเทพ เทือกสุบรรณ

        ส่วนที่ดินสวนปาล์มหลายพันไร่ ที่เนิน 491 ในอำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ นายชำนิ ศักดิ์เศรษฐ เป็นเจ้าของ ก็เป็นสวนปาล์มที่ได้เงินมาจากการค้ายาเสพติดอีกเช่นกัน

                                                    ยาเสพติดกับตำรวจสายวัง

      ผลประโยชน์ของยาเสพติดในเส้นทางสายนี้ นอกจากวังจะเปิดทางให้กับพวก ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และตำรวจตัวใหญ่ๆในตำรวจภูธรภาค 5 แล้ว ราชินีสิริกิติ์ก่อนป่วยยังได้แบ่งให้กับตำรวจของวังคนอื่นๆอีกด้วย เช่น พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค และอดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 พล.ต.อ.สุนทร ซ้ายขวัญ

       และในเส้นทางสายนี้มีอยู่ครั้งหนึ่งในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ปี 2539 พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค ได้ร่วมมือกับนายศุภฤกษ์ เรือนใจมั่น หรือ โจ ด่านช้าง ในการขนยาเสพติดล๊อตใหญ่ แต่โจ ด่านช้าง เกิดพลาด ถูกตำรวจอีกสายหนึ่งที่ไม่รู้ว่าโจ ด่านช้าง เป็นคนของตำรวจสายวังที่ค้ายาเสพติด ติดตามไล่ล่าจน โจ ด่านช้าง หนีไปติดอยู่ที่กระท่อมกลางน้ำ ในจังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งการไล่ล่า โจ ด่านช้างในครั้งนั้น ได้ตกเป็นข่าวใหญ่โต ทำให้ผู้สื่อข่าวทุกสำนักติดตามทำข่าวอย่างไม่ลดละ จนในที่สุดตำรวจได้ล้อมโจ ด่านช้าง และพรรคพวกไว้ที่บ้านเลขที่ 107/1 หมู่ 5 ต.บางใหญ่ อ.บางปลาม้า ซึ่งเป็นบ้านยกสูง 2 ชั้น และกำลังถูกน้ำท่วมขังรอบบ้าน

โจ ด่านช้าง (คนใส่เสื้อกร้ามเห็นหน้า)

       เมื่อหมดทางหนีจึงทำให้ โจ ด่านช้าง ติดต่อขอมอบตัว จากนั้นตำรวจอีกชุดหนึ่งได้เข้าไปควบคุมตัวพวกโจด่าน ช้าง ไว้ทั้งหมดและกำลังพากันเดินลุยน้ำออกมา แต่ปรากฏว่าเดินทางออกจากบ้านกลางน้ำมาได้เพียงไม่ถึงครึ่งทาง พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค ที่กลัวว่าพวกโจ ด่านช้าง จะให้การซัดทอด ก็ได้พาตำรวจอีกชุดหนึ่ง โดยมีนักข่าวตามมาด้วย และในช่วงที่กำลังลุยน้ำเข้ามานั้น นักข่าวคนหนึ่งที่เดินตามหลัง พล.ต.อ สล้าง บุนนาค ได้ยิน พล.ต.อ.สล้าง สบถคำพูดว่า "ไอ้เหี้ย เสือกเอาพวกมันออกมาทำไมว่ะ" จากนั้น ได้ก็มีนายตำรวจอีกผู้หนึ่ง วิทยุสั่งการไปยังชุดที่เข้าไปจับกุมคนร้ายว่า "นายบอกให้เอาพวกมันกลับไป ไม่ต้องพาออกมา"

พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค (ลุยน้ำไปสั่งฆ่าปิดปาก)

       เมื่อพาพวกโจ ด่านช้าง กลับมาที่บ้านกลางน้ำอีกครั้งหนึ่ง โดยตำรวจได้ใส่กุญแจมือทุกคนไว้แล้ว พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค จึงออกคำสั่งให้ตำรวจยิง โจ ด่านช้าง กับพวกรวม 6 คนตายทั้งหมด  ซึ่งเรื่องนี้เป็นข่าวใหญ่โตในหนังสือพิมพ์ทุกฉบับในเดือนพฤศจิกายน ปี 2539 มาแล้ว

โจ ด่านช้าง และพวกรวม 6 ศพ

       การฆ่าอย่างเลือดเย็นและเหี้ยมโหดในครั้งนั้น หลายคนก็รู้ว่าเป็นการฆ่าปิดปากของตำรวจสายวัง และในวงการนักข่าวและตำรวจจะเรียกเหตุการณ์ในครั้งนั้นว่า “วิสามัญอำพราง”

                                                      โจรในเครื่องแบบตำรวจ

       ส่วนนายตำรวจอีกคนหนึ่งที่เป็นคนใกล้ชิดกับวังสายสิริกิติ์ คือ พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม และเป็นนายตำรวจที่อุ้มฆ่านายอัลลู ไวรี นักธุรกิจซึ่งเป็นญาติกับกษัตริย์ซาอุ ที่มาตามสืบหาเพชรที่หายไปจากการขโมยของ นายเกรียงไกร เตชะโม่ง นอกจากนี้ พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ยังมีอิทธิพลในเรื่องยาเสพติดและมือปืนรับจ้างในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือ ทั้งการรับจ้างฆ่า และให้ความคุ้มครองขบวนการค้ายาเสพติดบริเวณชายแดน   โดยเฉพาะที่ อ.แม่สาย และ อ.เชียงแสนในจังหวัดเชียงราย

ตำรวจโจร พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม

            ในปี 2543-2544 พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ได้ค้ายาเสพติดโดยร่วมกับ นายมงคล จงสุทธนามณี อดีต สส. เชียงราย 8 สมัย พรรคชาติไทย-พรรคชาติพัฒนา 

นายมงคล จงสุทธนามณี

        รวมทั้งนายสำเริง บุญโยปกรณ์ อดีตผู้ว่าเชียงราย โดยใช้  ลูกน้องไปคุมจุดต่างๆ เช่นให้ พ.ต.อ.ทิวธวัช นครศรี ไปคุมที่ อ.แม่สายและ อ.เชียงแสน

นายสำเริง บุญโยปกรณ์(อดีตผู้ว่าเชียงราย)

      แต่ที่ อ.แม่สาย มีเจ้าของท่าน้ำทางการเกษตร ที่ชื่อกำนันแดง(นายแสงสนิท ไชยศรี สามีเก่า ดาราสาวต่าย สายธาร นิยมกาจน์) และผู้ใหญ่บ้านที่ชื่อ ผู้ใหญ่แดงน้อย ไม่ยินยอมให้ทีมงานของ พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ขนยาบ้าล๊อตใหญ่ผ่าน ทั้งที่พล.ต.ท.สมคิด ลงมาเจรจาเองก็ไม่ยอม 

พ.ต.อ.ทิวธวัช นครศรี

         ทำให้ต่อมาในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2544 พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม จึงสั่งให้ พ.ต.อ.ทิวธวัช นครศรี และ พ.ต.ท.เรวัต ยืนธรรม ใช้ปืนติดกล้องลอบยิงกำนันแดง ที่บริเวณโครงการขุดลอกหนองป่าไร่ ท้ายหมู่บ้านปางห้า ต.เกาะช้าง ห่างจากชายแดนประมาณ 200 เมตร แล้วก็ทำคดีเองโดยยัดข้อหายาเสพติดให้กำนันแดง และในเดือนต่อมาตำรวจชุดเดิม คือพ.ต.อ.ทิวธวัช นครศรี และ พ.ต.ท.เรวัติ ยืนธรรม ก็ไปไล่ยิงผู้ใหญ่แดงน้อย ลูกน้องคนสนิทกำนันแดงตาย ในพื้นที่แม่กรณ์ อ.เมือง เชียงราย โดยยัดข้อหายาเสพติดให้ผู้ใหญ่แดงน้อยอีกเช่นเคย

พ.ต.ท.เรวัติ ยืนธรรม

                                                     ตำรวจโจร สั่งฆ่ารัฐมนตรี

     พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ยังร่วมมือกับนายมงคล จงสุทธนามณี อยู่เบื้องหลังการตายอย่างมีเงื่อนงำของ นายสันติ ชัยวิรัตนะ อดีต รมช.มหาดไทย เจ้าของฉายา รัฐมนตรีถนนควายเดิน ที่ไปแย่งประมูลการ ก่อสร้างโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียในจังหวัดเชียงราย

นายสันติ ชัยวิรัตนะ(อดีต รมช.มหาดไทย)

         โดยมีนายสำเริง บุญโยปกรณ์ ผู้ว่าเชียงรายตอนนั้นรู้เห็นด้วย โดยมือปืนคือนายจำรัส ผ้าเจริญ หรือลุงหนวด ลูกน้องคนสนิทของนายมงคล จงสุทธนามณี และนายจำรัส มือปืนคนนี้ ก็คือคนที่นายหน่อคำใช้ให้ไปวางแผนร่วมกับทหารกองกำลังผาเมือง สังหารโหดพ่อค้าชาวจีน 13 คน บริเวณแม่น้ำโขง ช่วง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2554

ศพพ่อค้าจีน

                                                    ยัดยาเสพติดเพื่อแย่งเมีย

         นอกจากนี้ ในปี 2544 มีกำนันคนดังแห่งอ.เชียงแสน ชื่อนายฤทธิรงค์ มานะมนตรี หรือกำนันตี๋ เป็นผู้ที่มีเมียสวยชื่อนางมล เป็นอดีตนางงามเชียงราย พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม เกิดถูกใจอยากได้นางมล จึงยัดข้อหาโดยตั้งข้อสงสัยว่ากำนันตี๋ เป็นผู้ลักลอบค้ายาเสพติด จึงสั่งให้ตำรวจวิสามัญกำนันตี๋ เพื่อที่จะแย่งเอาภรรยา แต่กำนันตี๋ไม่ตาย หนีไปหลบภัยอยู่กับครูบาบุญชุ่มที่ฝั่งพม่า ทำให้พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม วิสามัญลูกน้องกำนันตี๋ตายแทน เพื่อปิดคดีที่บริเวณห้างบิ๊กซี เชียงราย และเมียคนสวยของกำนันตี๋ก็ถูกตำรวจโจรสมคิดย่ำยี

  ต่อมากำนันตี๋ได้กลับไทยโดยได้รับเลือกตั้งให้มาเป็นนายกเทศมนตรีเทศบาลเวียงเชียงแสน เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2550 และเปลี่ยนชื่อเป็นนายพลภพ มานะมนตรีกุล 

กำนันตี๋ (นายฤทธิรงค์ มานะมนตรี)

 .. มีต่อตอนที่ ตอนที่ 9