วันพุธที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2560

บทความ: สถาบันกษัตริย์กับการค้ายาเสพติด ตอนที่ 9 ยาเสพติดขบวนการมาลีปา เส้นทางที่ 4 ตอบแทนผู้จงรักภักดี



                                                สถาบันกษัตริย์กับการค้ายาเสพติด     
ควายผู้จงรักภักดี

บทความโดย พิษณุ พรหมสร Anti

เผยแพร่ครั้งแรก                    30 กรกฎาคม 2557  ในชื่อหัวข้อ ”เส้นทางยาเสพติดของลุงสมชาย”   

แก้ไขอัพเดทเพิ่มเติมครั้งที่1.... 12  กันยายน 2560   ในชื่อหัวข้อ “สถาบันกษัตริย์กับการค้ายาเสพติด”



                                                                 ตอนที่ 9                                            

                            ยาเสพติดขบวนการมาลีปา เส้นทางที่ 4 ตอบแทนผู้จงรักภักดี

      ยาเสพติดจากโกกั้งเส้นทางนี้ เข้ามาทาง-แม่แตง-ดอยปุย-ภูพิงค์ราชนิเวศน์ รวมทั้งกัญชา และบางส่วนก็มาจากโครงการหลวง ในดอยอ่างขาง และดอยแม่สลอง นอกจากนี้บนดอยปุย ในเขตภูพิงค์ราชนิเวศน์ มีชาวม้งปลูกฝิ่นกันมากมายจนกลายเป็นเรื่องธรรมดา ที่ไม่ผิดกฎหมาย 

ปลุกฝิ่นบนดอยปุย ภายในบริเวณตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์

                                          ยาเสพติดสายนี้เพื่อทหารและผู้จงรักภักดี   

        ในเส้นทางสายนี้ ทางวังเปิดโอกาสให้เป็นผลประโยชน์และรายได้แก่ทหารสายราชสำนัก เช่น บูรพาพยัคฆ์และวงศ์เทวัญโดยเฉพาะกลุ่มจงรักภักดีสายราชนิกูล เพื่อเป็นผลประโยชน์ตอบแทน โดยมีความจงรักภักดีเป็นเงื่อนไข  และการขนยาในเส้นทางสายนี้ การขนส่งจะใช้รถยีเอ็มซีของทหาร รวมทั้งรถที่ติดป้ายโครงการหลวง    

      โดยยาเสพติดประเภทต่างๆรวมทั้งกัญชาในเส้นทางสายนี้ส่วนใหญ่จะถูกส่งไปให้เอเย่นต์ค้ายาในกรุงเทพฯ เพื่อ กระจายไปยังสถานบันเทิง ต่างๆเช่นในย่าน RCA สถานบริการอาบ อบ นวด พับ คาเพ่ รวมทั้งบ่อนคาสิโนตามชายแดนทุกแห่ง ในประเทศเพื่อนบ้าน และเรื่องราวที่พลเอกประวิทย์ วงศ์สุวรรณเข้าไปเกี่ยวข้องกับคาสิโนที่ช่องสายตะกูนี้เอง จึงเป็นที่มาให้มีการจับทหารของพลเอกเปรมที่ค้ากัญชา

คาสิโน ช่องสายตะกู

          เปรมเล่นงานประวิทย์เรื่องบ่อนสายตะกู  & ประวิทย์แก้แค้นด้วยการจับคนของเปรมขนกัญชา

      ตามที่ผู้เขียนได้พูดในรายการตื่นเถิดชาวไทยทาง youtube มาหลายครั้งแล้วว่า พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ กับพลเอกประวิทย์ วงศ์สุวรรณ ขัดแย้งกันอย่างรุนแรง เพราะหลังการรัฐประหาร ในเดือนพฤษภาคม ปี 2557 คณะรัฐประหารที่มีพลเอกประวิทย์ วงศ์สุวรรณเป็นผู้นำกลุ่ม ไม่ยอมลงจากอำนาจ เพื่อเปิดทางให้คนของกษัตริย์ภูมิพลมาเป็นนายกเหมือนกับทุกๆครั้งหลังการรัฐประหาร ที่มีกษัตริย์ภูมิพลอยู่เบื้องหลัง

       เมื่อทหารสายพลเอกประวิทย์ ไม่ยอมลงจากอำนาจ พลเอกเปรมจึงรอจังหวะหาทางเล่นงานพลเอกประวิทย์ วงศ์สุวรรณ มาโดยตลอด และมาสบโอกาสในตอนที่ออกญาลึมเฮย ที่มีเชื้อชาติเวียดนาม สัญชาติเขมร ได้ติดสินบนพลเอกประวิทย์ วงศ์สุวรรณ เป็นจำนวนเงินมากถึง1,050 ล้านบาท เพื่อแลกกับการอนุมัติ ให้เปิดบ่อนเสรีในพื้นที่ทับซ้อนบริเวณชายแดนไทยกำพูชา หรือที่เรียกว่าคาสิโนสายตะกู

ออกญาลึมเฮย
        โดยทีมงานของพลเอกเปรม ที่นำโดยนายวีระ สมความคิด ให้สื่อออกข่าวโจมตีในวันที่ 8 มีนาคม 2560 ว่าขายชาติ เพราะเป็น การยกดินแดนให้เขมร จนทำให้โครงการบ่อนในพื้นที่ทับซ้อนต้องหยุดชะงัก

วีระ สมความคิด (มือทำงานให้เปรม)
        ทางด้านพลเอกประวิทย์ วงศ์สุวรรณ ก็เก็บความแค้นนี้ไว้ เพื่อรอการชำระเช่นกัน และมาสบโอกาส เพราะก่อนหน้านั้นในวันที่ 5 กันยายน 2559 ตำรวจสามารถจับนายฉี เจ ซัน หรือ จีระยุทธ วาณิชย์ สัญชาติไต้หวัน และยังมีชื่อไทยอีกชื่อหนึ่งว่า นายสุพรชัย ชูแก้ว พร้อมกัญชาอัดแท่งซุกซ่อนอยู่ในโกดังแห่งหนึ่งที่ อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี รวมแล้วมีมากถึง 3,155 กิโลกรัม มีการหีบห่อรอส่งไปประเทศที่สาม โดยตำรวจจับนานฉี เจ ซัน ได้คนเดียว

กัญชาอัดแท่ง
       แต่ทางสายข่าวของพลเอกประวิทย์ วงศ์สุวรรณ คือ พล.ท.ธนเกียรติ ชอบชื่นชม สามารถสืบทราบได้ว่า พล.ท.เกรียงไกร ชัยชุมพร หรือเสธน้อย คนสนิทของพลเอกเปรม ซึ่งเป็นอดีตนายทหารเสือราชินี ผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าทีม รปภ.ซึ่งเข้านอกออกในบ้านสี่เสามาเกือบสิบปี ได้ร่วมมือกับนายฉี เจ ซัน ค้ายาเสพติดมานาน จึงร่วมกับตำรวจขยายผลสอบเค้นนายฉี เจ ซัน อย่างหนัก จนในที่สุดก็ยอมรับสารภาพ โดยซัดทอดว่าได้มือร่วมกับพล.ท.เกรียงไกร ชัยชุมพร ค้ายา จนสามารถจับกุมตัว พล.ท เกรียงไกร ชัยชุมพร ได้ในวันที่ 5 เมษายน 2560 ซึ่งนับได้ว่าพลเอกประวิทย์ สามารถแก้แค้นพลเอกเปรม ได้ในระยะเวลาที่ห่างกันเพียงเดือนเดียว

พล.ท.เกรียงไกร ชัยชุมพร (คนสนิทเปรมในบ้านสี่เสา)
          จากความขัดแย้งของสองกลุ่มที่กำลังชิงอำนาจทางการเมืองกันอย่างรุนแรงในช่วงปลายปี 2560 นี้  จึงทำให้เห็นได้ว่า ต่อไปสถานการณ์ความขัดแย้งก็จะทวีรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ในครั้งใหญ่ได้

                                              ความผูกพันธ์ระหว่างภูมิพลกับกองพล93
         
       ผู้นำทหารกองพล 93 ที่ดอยแม่สลอง ล้วนมีความสัมพันธ์ที่ดีกับกษัตริย์ภูมิพล อย่างเช่น นายพลหลุย อี่ เทียน นายพลเลา ลี นายพลต้วน ซีเหวิน โดยเฉพาะนายพลต้วน ซี เหวิน ที่มีชื่อไทยว่านายชีวัน คำลือ จะมีความสนิทสนมเป็นพิเศษ  

นายพล หลุย อี่ เทียน หนึ่งในผู้นำทหารกองพล 93
       ผู้นำทหารกองพล 93 นอกจากกษัตริย์ภูมิพลแล้ว พวกเขายังมีความสนิทสนมกับทหารไทย ตั้งแต่สมัยจอมพลผิน ชุณหะวัณ พลเอกเผ่า ศรียานนท์ ต่อมาก็ยุคของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งคนทั้งหมดนี้ ได้ร่วมกันค้าฝิ่นและเฮโรอีนมาตั้งแต่ ครั้งที่กองพล93 เข้ามาอยู่ที่ดอยแม่สลองใหม่ๆ โดยเฉพาะพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ นอกจากจะคุ้นเคยกับผู้นำทหารในกองพล 93 แล้ว พล.อ.เกรียงศักดิ์ ยังเป็นเป็นเพื่อนสนิทกับขุนส่าราชายาเสพติดระดับโลกอีกด้วย
                                          
                                                       พื้นที่การปลูกฝิ่นในประเทศไทย

       จะปลุกกันทุกดอยในโครงการหลวง เช่น ดอยปุย ดอยสุเทพ ดอยอินทนนท์  ดอยในจังหวัดเชียงใหม่ ดอยในจังหวัดแม่ฮองสอน  ดอยในจังหวัดเชียงราย ซึ่งฝิ่นดิบเหล่านี้จะปลูกโดยชาวเขาเผ่าแม้ว (ม้ง) 

ฝิ่นบนดอย ในแม่ฮ่องสอน
        เมื่อมีคนเข้าไปเห็นไร่ฝิ่นที่ดอยต่างๆ แล้วเข้าไปสอบถามว่า ฝิ่นเหล่านี้เป็นของใคร? พวกชาวเขาก็จะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า เป็นของ “พ่อหลวง  แม่หลวง”   ซึ่งแน่นอนว่าฝิ่นทุกต้นบนดอยของประเทศไทย ถูกปลูกอยู่ในโครงการหลวง ตามที่วังใช้มติของคณะรัฐมนตรียึดที่ทำกินของชาวเขาบน ภูดอย มาทั้งสิ้น

ฝิ่นแม่ตะมาน อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
                                              
                                            ยาเสพติดถ้าอยู่ในโครงการหลวงจะถูกกฎหมาย          

          และเพื่อเป็นการตบตาชาวไทย และตบตาคนทั้งโลก ทางวังจึงวางแผนให้คนทั่วไปรู้สึกว่า การปลูกฝิ่นเป็น เรื่องไม่ผิด ถ้ามีอยู่ในโครงการหลวง

        ดังนั้น ทางสำนักพระราชวัง จึงดำเนินการให้จัดตั้งหอฝิ่นขึ้นมา ที่สามเหลี่ยมทองคำ โดยใช้ชื่อ ว่า พิพิธภัณฑ์ บ้านฝิ่น โดยมีโครงการวิจัยฝิ่นบังหน้า และใช้ข้ออ้างว่ามีวัตถุประสงค์ เพื่อให้คนไทย รวมทั้งนักท่องเที่ยวมาเรียนรู้ และดูว่าฝิ่นเป็นอย่างไร

หอฝิ่นสามเหลี่ยมทองคำ
           แต่แหล่งข้อมูลระบุว่าภายในบริเวณหอฝิ่นแห่งนี้ มีสถานที่ลับสำหรับเก็บรักษาฝิ่น และยาเสพติด มีการเจาะภูเขา ขุดเป็นอุโมงค์ และห้องใต้ดิน ทั้งนี้ก็เพื่อความสะดวกทั้งในการเก็บรักษา และการลำเลียงฝิ่นและยาเสพติดชนิดอื่นๆ ที่มาจากพวกโกกั้งทางฝั่งพม่า 

ห้องเก็บฝิ่น ภายในหอฝิ่น
       ซึ่งวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของสำนักพระราชวังที่ต้องการสร้างหอฝิ่นขึ้นมา ก็เพื่อต้องการครอบครองฝิ่น และ ยังสามารถครอบคลุมไปถึงยาเสพติดอื่นๆ ได้อย่างถูกกฎหมายอีกด้วย  

    สรุปว่าในประเทศไทย มีแต่โครงการหลวง  อันเนื่องจากพระราชดำริเท่านั้น ที่สามารถครองครองยาเสพติดได้อย่างถูกกฎหมาย และนี่คือเล่ห์กลอันชาญ ฉลาดของกษัตริย์ภูมิพลและเครือข่ายยาเสพติด

    นอกจากกษัตริย์ภูมิพล จะทรงมีพระอัจฉริยะภาพในการยึดเอาทรัพย์สมบัติของชาติ มาเป็นสมบัติส่วนตนแล้ว  พระองค์ยังทรงมีพระอัจฉริยะภาพในการทำให้ยาเสพติดถ้าอยู่ในโครงการหลวงกลายเป็นเรื่องที่ถูกกฎหมายอีกด้วย
                                             
                                                        กองกำลังผาเมืองกับการค้ายา

     นอกจากนี้ยังมีคดีที่เกี่ยวข้องกับกองกำลังผาเมือง ในจังหวัดเชียงรายว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ก็คือคดีที่ทหาร กองกำลังผาเมือง 9 นาย ที่นำโดย พ.ต.เชิดพงษ์ ช่วยบำรุง หน.ฝ่ายข่าวกรอง กองกำลังผาเมือง

พ.ต.ชิดพงษ์ ช่วยบำรุง
      ได้ร่วมกับ นายหน่อคำ ราชายาเสพติดชาวพม่า เจ้าของฉายาโจรสลัดแห่งลุ่มแม่น้ำโขง กระทำการฆ่าหมู่ 13 ศพลูกเรือจีน บริเวณแม่น้ำโขง ช่วงอ.เชียงแสน จ.เชียงราย เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2554  ซึ่งคดีนี้เป็นที่สะเทือนขวัญและเป็นข่าวใหญ่โตในประเทศจีน ทำให้ชาวจีนโกรธแค้นมาก

ลาวจับหน่อคำส่งตัวให้จีน
         ซึ่งในคดีนี้ การสอบสวนทั้งจากทางตำรวจไทย และตำรวจจีนในช่วงแรก มีทั้งพยาน และหลักฐานชัดเจนว่า นายหน่อคำ และทหารทั้ง 9 นายของกองกำลังผาเมือง ได้เป็นผู้ร่วมกันฆ่า ลูกเรือจีน ทั้ง 13 ศพ และได้มีการดำเนินคดี กับทหารทั้ง 9 นายไปแล้ว โดยพล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รอง ผบ.ตร.ที่เป็นผู้ดูแลคดีนี้เอง แต่แล้วข่าวก็เงียบไป โดยไม่มีแม้แต่ทางพนักงานสอบสวนจะส่งฟ้องในชั้นอัยการ ซึ่งเรื่องนี้ก็เห็นได้ชัดว่าต้องมีผู้ยิ่งใหญ่สั่งให้ยุติคดีกับนายทหารทั้ง9 ของกองกำลังผาเมือง

พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัติ
       ในเรื่องนี้ผู้เขียนได้รู้จักกับตัวแทนรัฐบาลจีนท่านหนึ่ง ที่กำลังมาเจรจาการค้ากับตัวแทนรัฐบาลกำพูชา ได้บอกกับผู้เขียนว่า ในการประชุมของพรรคคอมมิวส์จีนในระดับมณฑล และผู้บัญชาการทหารในนครปักกิ่ง ได้พูดคุยกันในที่ประชุมว่า จีนจะทำทุกวิถีทางในการนำตัวนายหน่อคำ และ 9 ทหารไทยมาลงโทษให้ได้ ไม่ว่าจะจับเป็นหรือจับตาย

      แต่ในที่สุดก็มีแต่นายหน่อคำและพรรคพวกเท่านั้นที่ถูกทางการลาวจับตัวส่งผู้ร้ายข้ามแดนไปให้จีน และในที่สุดศาลจีนก็สั่งประหารชีวิตนายหน่อคำ 

     ต่อมาเมื่อผู้เขียนได้พบกับตัวแทนรัฐบาลจีนท่านนั้นอีกครั้ง ผู้เขียนจึงได้ทวงถามว่า ทำไมทางการจีนถึงไม่เอา เรื่องกับ 9 นายทหารไทย ตัวแทนรัฐบาลจีนท่านนั้นก็ตอบว่า หลังเกิดเรื่อง ฟ้าหญิงสิรินธรได้ไปเยือนจีนด้วย ตัวเอง  โดยท่านได้ตั้งข้อสันนิษฐานว่า ทางฟ้าหญิงสิรินธรคงเอาผลประโยชน์ทางการเมือง หรือผลประโยชน์ทาง ทรัพย์สิน อย่างใดอย่างหนึ่ง ไปแลกกับรัฐบาลจีน เพื่อไม่ให้ทหารไทยต้องตกเป็นจำเลยไปด้วย แต่ที่แน่ๆคงต้องไป แก้ตัวว่าทหารไทยทำไปเพราะถูกหลอก อะไรประมาณนั้น  

                                 ทหารพยายามจะเปิดเส้นทางค้ายาเสพติดเส้นทางใหม่

         นอกจากยาเสพติดใน 4 เส้นทางนี้แล้ว ทหารยังมีความพยายามที่จะเปิดเส้นทางค้ายาเสพติดใหม่ ขึ้นอีก หนึ่งช่องทาง คือช่องทาง ที่ติดกับพม่าในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน และที่นี่ทหารก็ได้รับความร่วมมืออย่าง ดีจากหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งระจาน นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร และหัวหน้าอุทยานคนนี้ก็ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีสั่งฆ่าครูป๊อด หรือนายทัศน์กมล โอบอ้อม เมื่อวันที่ 10 กย. 2554 และผู้ต้องสงสัยในคดีการหายตัวไปของผู้นำกระเหรี่ยงที่ชื่อบิลลี่ 

นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร
        สำหรับครูป๊อด รู้จักกับผู้เขียนดี เพราะเป็นคนจังหวัดเพชรบุรีเหมือนกัน และในช่วงปี 2532 ถึง 2535 ก็เคยเป็นนายหน้าค้าที่ดินที่อ.แก่งกระจานมาด้วยกัน โดยก่อนถูกยิงตายครูป๊อดได้เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า นายชัยวัฒน์ร่วมมือกับทหารที่ค่ายแก่งกระจาน ค้ายาเสพติดกับชนกลุ่มน้อยในพม่า 

ครูป๊อด หรือนายทัศน์กมล โอบอ้อม
      หลังจากนั้น ก็เกิดเหตุเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพบกแบบ ฮิวอี้ - แบล็คฮอว์ก และ เบลล์ รวม 3 ลำ ตกที่แก่งกระจาน ในวันที่ 17-19 และวันที่ 24 กรกฎาคม  2554 ตามลำดับนั้น เป็นการตกเพราะอุบัติเหตุเพียงลำเดียวคือ เบลล์ ที่ตกในวันที่ 24 แต่อีก 2 ลำก่อนหน้านั้น ถูกชนกลุ่มน้อยยิงตก 

จุด ฮ.ตก
       เพราะมีการหักหลังกันในเรื่องค้ายาเสพติด โดย ฮ.ลำแรกที่มีทหาร 5 คน ไปนั้น ถูกยิงตกในระยะต่ำ แล้วชนกลุ่มน้อยก็ฆ่าตัดคอ หลังจากนั้นก็วิทยุหลอกให้ทหารหน้าโง่ไทย นำเงินมาไถ่ตัว โดยไม่บอกว่าได้ฆ่าทหารทั้ง 5คนนั้นไปแล้ว พอ ฮ.ลำที่สองมีทหารไปกันทั้งหมด 8 นาย นักข่าวอีก 1คน ที่นำโดย พลตรี ตะวัน เรืองศรี นำเงินมาไถ่ตัว ก็ถูกชนกลุ่มน้อยหลอกมาฆ่าจนหมด โดยแทบทุกศพถูกตัดหัว

พล.ต.ตะวัน เรืองศรี ไปไถ่ตัวทหารที่ ฮ.ตกลำแรก แต่ก็ถูกยิงตกตายทั้งหมดเป็นลำที่ 2
         ซึ่งในเรื่องนี้นายทัศน์กมล โอบอ้อม หรือครูป๊อด นอกจากจะเล่าเรื่องการค้ายาเสพติดให้กับผู้เขียนแล้ว คงไปเล่าให้ให้คนอื่นๆได้รับรู้ด้วย และโดยส่วนตัวครูป๊อดไม่ถูกกับนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน พอเหตุ ฮ.ของทหารตกได้เพียงเดือนกว่า ครูป๊อด ก็ถูกยิงตาย และหนึ่งในผู้ต้องหาจ้างวานที่ตำรวจจับได้ก็เป็นคนขับรถของนายชัยวัฒน์ ซึ่งคาดว่าเป็นการฆ่าปิดปาก  แต่คดีนี้นายชัยวัฒน์ และมือปืน ก็รอดในอภินิหารย์ของกฎหมายไทยอีกเช่นเคย ทั้งที่คนจ้างวานเป็นคนขับรถของนายชัยวัฒน์ และรับสารภาพในชั้นสอบสวนแล้วด้วย

    ส่วนคดีที่นายชัยวัฒน์ ที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในการหายไปของ กระเหรี่ยงบิลลี่นั้น ในชั้นสอบสวนนายชัยวัฒน์บอกว่าไม่รู้จักกระเหรี่ยงบิลลี่ แต่ต่อมามีรูปถ่ายไปยืนยันกับพนักงานสอบสวน ว่านายชัยวัฒน์และกระเหรี่ยงบิลลี่ถ่ายรูปคู่กัน แต่ก็ด้วยอภินิหารของกฎหมายไทยอีกเช่นเคยที่ทำให้นายชัยวัฒน์รอดไปได้อีก

ชัยวัฒน์โกหกกับพนักงานสอบสวนว่าไม่รู้จักกระเหรี่ยงบิลลี่ (แต่มีรูปถ่ายคู่กัน)
สรุปว่า..ถ้าใครสามารถเข้าไปอยู่ในขบวนการค้ายาเสพติดของสายวังกับทหารแล้ว ไม่ว่าคดีอะไรก็จะรอดทุกคดี

.. มีต่อตอนที่ 10  




















































ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

                                            สิ่งปนเปื้อนในพุทธศาสนา พุทธโควิท บทความโดย: นายพิษณุ พรหมสร เผยแพร่: 4 กุมภาพันธ์ 2566 ถ้าบอกตั...