วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

                                            สิ่งปนเปื้อนในพุทธศาสนา


พุทธโควิท

บทความโดย: นายพิษณุ พรหมสร

เผยแพร่: 4 กุมภาพันธ์ 2566


ถ้าบอกตัวเองว่าเป็นชาวพุทธ คุณต้องรู้และเข้าใจสิ่งนี้

    ศาสนาพุทธ ไม่ได้สอนให้ ร้องขอ แล้วรอผล ดลบันดาน แต่สอนว่า ถ้าต้องการ หรือ ปรารถนาสิ่งใดแล้ว ก็ต้องเอาบุญบารมี ซึ่งเป็นกุศลกรรมดีที่ตัวเองทำไว้ เข้าไปแลก.

  

คำนำ

       บทความนี้ผู้เขียนขออุทิศให้ พุทธศาสนานิกายเถรวาท ซึ่งเป็นพุทธต้นกำเนิดตามคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า โดยการท่องจำของพระอหันต์สาวก จนนำไปสู่การจดบันทึกลงในพระไตรปิฏกเป็น ภาษาบาลี มิใช่ภาษาสันสกฤต เพราะ พุทธศาสนานิกายมหายาน รวมทั้งลัทธิและพุทธนิกายอื่นๆ ได้บันทึกสิ่งปนเปื้อนของพุทธศาสนาเป็น ภาษาสันสกฤต

เนื่องจากพุทธศาสนาต้นกำเนิดได้ถูกดัดแปลง แก้ไข บิดเบือน และปนเปื้อนด้วยสิ่งที่แปลกปลอมต่างๆมากมาย ทั้งจากปัจจัยภายใน และปัจจัยภายนอก โดยที่ชาวพุทธจำนวนมาก ยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเปลี่ยนแปลง ในหลักการสำคัญของพุทธศาสนา ที่มีมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ว่ามีความเป็นมาอย่างไร 

รวมทั้งสาเหตุของการเกิดพุทธนิกายต่างๆ และการเกิดลัทธิต่างๆ อีกมากมาย จนทำให้สัจธรรม ที่เป็นความจริงอันประเสริฐในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า มีสิ่งปลอมปนผิดเพี้ยนไปจากเดิมไปมากมาย จนทำให้พุทธศาสนาเปรียบเหมือนกับศาสนาที่กำลังถูกโรคไวรัสคุกคาม

ถ้าบริษัท 4 อุบาสก อุบาสิกา ภิกษุ ภิกษุณี ที่เป็นส่วนหนึ่งของพุทธบริษัท ไม่ช่วยกันดูแลรักษาปกป้องพุทธศาสนา ก็จะทำให้ศาสนาพุทธอาจกลายพันธ์ไปเป็นศาสนาที่ทำให้ผู้คนต้องเสื่อมศรัทธา จนนำมาซึ่งการถูกทำลาย เหมือนกับอินเดียในอดีต 

จากการที่มีกลุ่มพระที่เรียกตัวเองว่า มหาสังฆิกะ ไม่ปฎิบัติตามพระธรรมวินัย โดยบัญญัติพระธรรมวินัยของฝ่ายตนขึ้นมาเอง จากนั้นก็แยกตัวออกไป ตั้งลัทธิ นิกายใหม่

จนในที่สุด พระพุทธศาสนา ก็ถูกปลอมปนด้วยอิทธิพลความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ฮินดู และลัทธินิกายต่างๆ จนเกิดเป็นลัทธิ แล้วก็พัฒนากลายพันธ์ไปเป็นนิกาย อย่างเช่น พุทธนิกายมหายาน พุทธนิกายตันตระยาน พุทธนิกายวัชรยาน พุทธนิกายเซ็น และพุทธนิกายอื่นๆ อีกหลายลัทธินิกาย ฯลฯ

จนกระทั่งในระหว่าง พุทธศตวรรษที่ 14 ถึง พุทธศตวรรษที่ 17 ที่รัตนศิรีบรรพต รัฐโอริสสา ประเทศอินเดีย วัดพุทธในนิกายตันตระยาน ถึงขนาดมีพระในวัด ทำวัตรปฎิบัติด้วยการนำสตรีเข้าห้องกรรมฐานเพื่อเสพเมถุน ทั้งกินเหล้า ฝึกคาถาอาคม และไสยเวทมนต์ดำ รวมทั้งพุทธนิกายตันตระยาน ยังประกาศอย่างไม่ละอายว่า มารดากับบุตร  พี่กับน้อง สามารถร่วมเพศกันได้ เป็นต้น 

ซึ่งทั้งหมดนี้ เกิดจากการกลายพันธ์ของศาสนาพุทธ จากสัจธรรมที่เป็นความจริงอันประเสริฐ กลับกลายเป็นความเลวร้ายที่สังคมรังเกียจ ซึ่งเป็นเหมือนกระจกเงาที่สะท้อนพุทธศาสนาของสังคมอินเดียในยุคนั้นว่าตกต่ำถึงเพียงใด ฯลฯ

และถึงแม้ว่าในปัจจุบันพุทธศาสนาไม่ได้ถูกปนเปื้อนจนเลวร้าย เหมือนกับวัดพุทธบนรัตนศิรีบรรพต ในรัฐโอริสสา ประเทศอินเดียในอดีตแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีร่องรอยเศษซากของความผิดเพี้ยนอื่นๆ ตกค้างอยู่ในศาสนาพุทธอีกมากมายทั้งในประเทศไทย และประเทศอื่นๆอีกหลายประเทศ

ดังนั้น ผู้เขียนจึงมีความประสงค์ อยากให้ชาวพุทธทุกลัทธินิกายที่กำลังถูกปนเปื้อนด้วยสิ่งแปลกปลอม ได้หันกลับมาศึกษาพุทธศาสนาในมุมมองที่ถูกต้องตามความเป็นจริง ตามหลักคำสอนดั้งเดิมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตามที่พระอรหันต์สาวกเถระได้ท่องจำ จนต่อมาได้มีการจดบันทึก ลงในพระไตรปิฏกเป็นภาษาบาลี

โดยบทความนี้ผู้เขียนอยากให้ท่านผู้อ่านได้เห็นถึงขั้นตอน ในการเปลี่ยนแปลงของพุทธศาสนา ในแต่ละยุคสมัยของอินเดีย และประเทศอื่นๆ จนถึงการปนเปื้อนของพุทธศาสนาในประเทศไทย โดยมีลำดับความเป็นมาโดยสังเขปดังนี้.-

 

ทำไมพุทธศาสนาจึงถูกทำลายอินเดีย

การติดเชื้อไวรัสในพุทธศาสนาต้นกำเนิด

ในพุทธศตวรรษที่1-2  หลังจากพระพุทธเจ้าทรงดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว ประมาณปี พศ.100 อันเป็นช่วงเวลาที่ทำสังคายนาพระไตรปิฎกเป็นครั้งที่ 2 เพราะเกิดการแตกแยกในข้อวัตรปฎิบัติของกลุ่มพระภิกษุในเมืองเวสาลี แคว้นวัชชี ที่ยังเป็น พระเสขะ(ยังไม่ได้บรรลุธรรม) ได้ถือวัตรปฎิบัตินอกพระธรรมวินัยถึง10 ประการ 

จนถูกกลุ่มพระสงฆ์ที่เคร่งครัดในพระธรรมวินัย ซึ่งส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดเป็น พระอรหันต์ ได้กล่าวตำนิติเตียน แต่กลุ่มภิกษุชาววัชชี ในเมืองเวสาลี ไม่เชื่อฟัง และยังยืนยันที่จะทำวัตรปฎิบัติที่กลุ่มพวกตัวเองบัญญัติขึ้นมา

ทำให้กลุ่มพระที่เคร่งครัดในพระธรรมวินัยประชุมเพื่อวินิจฉัยในอธิกร(ความขัดแย้ง)ที่เกิดขึ้น โดยที่ประชุมลง สังฆมติ (สังฆมติคือ มติของคณะสงฆ์ตามที่พุทธองค์ทรงบัญญัติในพระธรรมวินัยให้เป็นแนวทางการปฎิบัติเมื่อสงฆ์เกิดอธิกรความขัดแย้ง) เป็นเอกฉันท์ว่า การปฎิบัติของกลุ่มพระภิกษุชาววัชชีไม่ชอบด้วยพระธรรมวินัย 

จากนั้นกลุ่มพระอรหันต์ที่ลง สังฆมติ ก็กระทำการสังคายนาพระไตรปิฎกเป็นครั้งที่ 2 โดยมีพระอรหันต์เข้าร่วมทำสังคายนาจำนวน 700 รูปที่เวลิการาม เมืองเวสาลี แคว้นวัชชี

สังคายนาพระไตรปิฏก ครั้งที่ 2

 กำเนิดพุทธกลุ่มใหม่ "มหาสังฆิกะ"

แต่พระภิกษุชาววัชชีไม่ยอมรับและไม่เข้าร่วมการสังคายนา แต่ไปรวบรวมพระภิกษุที่เห็นด้วยกับฝ่ายตนได้ประมาณ 1 หมื่นรูป ประชุมทำสังคายนากันเองต่างหาก เรียกการประชุมในครั้งนั้นว่า มหาสังคีติ และเรียกกลุ่มพวกตัวเองว่า มหาสังฆิกะ โดยมีมติให้เรียกกลุ่มพระภิกษุที่ไม่เห็นด้วยกับฝ่ายตนว่า เถรวาท 

เมื่อพระภิกษุกลุ่ม มหาสังฆิกะได้แยกตัวออกไปแล้ว ต่อมาสงฆ์ทั้ง 2ฝ่าย ก็ได้แตกตัวออกไปอีกเป็นนิกายต่างๆอีก18 นิกาย ซึ่งรวมถึงการแตกนิกายของพระฝ่ายเถรวาทด้วย 

การแตกตัวของพุทธนิกายใหม่ เริ่มมีการแตกตัวเป็นครั้งแรก ตั้งแต่ พศ.100 ไปจนถึง พศ.200 และการแตกตัวไปเป็น มหาสังฆิกะ ของกลุ่มคณะสงฆ์นี้ ได้กลายเป็นต้นเค้าของการกลายพันธ์เปลี่ยนแปลงไปอีก จนเกิดเป็นพุทธนิกายใหม่ เรียกว่า พุทธนิกายมหายาน

มหาสังฆิกะ 

((หมายเหตุ พระฝ่ายเถรวาทคือ กลุ่มพระอรหันต์ที่ได้รับคำสั่งสอนโดยตรงจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยยึดมั่นในหลักคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า รวมทั้งถ้อยคำ และเนื้อความ ตลอดจนรักษาแม้แต่ตัวภาษาดั้งเดิมคือภาษาบาลี มีพระอรหันต์ 500 องค์ อันมีพระมหากัสสปะเป็นประธาน ได้ร่วมกันทำการสังคายนาพระไตรปิฎกเป็นครั้งแรกหลังพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานได้ 3 เดือน ที่ถ้ำสัตตบรรณคูหาข้างเขาภารบรรพต นอกเมืองราชคฤห์ เมืองหลวงแห่งแคว้นมคธ มีพระเจ้าอชาตศัตรู ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ กระทำกันอยู่เป็นเวลา 7 เดือนจึงสำเร็จ ))

ปฐมสังคายนา ณ ถ้ำสัตตบรรณคูหา 

พระเจ้าอโศกมหาราช ผู้มีบุญคุณต่อพุทธศาสนา 

พุทธศาสนาในพุทธศตวรรษที่ 3 ในช่วงปี พศ. 200 ถึง พศ.300 เมื่อราชวงศ์โมริยะ แห่งนครมคธเรื่องอำนาจขึ้นมาในยุคของพระเจ้าอโศกมหาราช พระองค์ได้ละทิ้ง ศาสนาเชน หันมานับถือศาสนาพุทธศาสนา นิกายเถรวาท  

พระเจ้าอโศกมหาราช

พระองค์ทรงทนุบำรุงพุทธศาสนานิกายเถรวาทอย่างยิ่งใหญ่และกว้างขวาง โดยเริ่มจากการกำจัดให้สึกพวกอลัชชีที่ปลอมเข้ามาบวชเพื่อหวังลาภสักการะถึง 6 หมื่นรูป และสนับสนุนให้ทำการสังคายนาพระไตรปิฎกเป็นครั้งที่ 3 หลังพระพุทธเจ้าดับขันธ์ปรินิพานไปแล้ว 236 ปี มีพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระเป็นประธาน มีพระอรหันต์เข้าร่วมทำสังคายนา 1,000 รูป ที่อโศการาม เมืองปาฏลีบุตร โดยการอุปถัมภ์ของพระเจ้าอโศกมหาราช ทำอยู่ 9 เดือนจึงสำเร็จ

สังคายนาพระไตรปิฏก ครั้งที่ 3 อโศการาม

หลังจากการทำสังคายนา พระเจ้าอโศกมหาราช ได้ส่งพระสมณทูตออกไปเผยแพร่พุทธศาสนาถึง 9 สาย ทั้งในอินเดีย เนปาล ลังกาทวีป รวมทั้งในดินแดนสุวรรณภูมิ    

ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้พุทธต้นกำเนิดนิกายเถรวาท รอดพ้นจากการถูกทำลายในอินเดีย กลับมาเจริญรุ่งเรืองในดินแดนสุวรรณภูมิ และลังกาทวีปแทน

พระโสณเถระและพระอุตตรเถระ. ผู้นำพระพุทธศาสนาสู่ดินแดนสุวรรณภูมิ

พุทธศาสนา สู่ดินแดนสุวรรณภูมิ

ครั้นเมื่อสิ้นสุดยุคจักรพรรดิ์อโศกแล้ว พุทธศาสนานิกายเถรวาทในอินเดียก็เสื่อมตามราชวงศ์โมริยะไปด้วย ทำให้ ศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู (ศาสนาฮินดู หรือในเอกสารภาษาไทยนิยมใช้คำว่า ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู) และ ศาสนาเชน กลับมาครองความยิ่งใหญ่ในอินเดียได้อีกครั้ง

ในส่วนของ พุทธกลุ่มมหาสังฆิกะ ที่มีวัตรปฎิบัตินอกเหนือพระธรรมวินัยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว กลับไปรับเอาอิทธิพลทางความเชื่อของศาสนาพราหมณ์เข้ามาผสมผสานกับแนวคิด-แนวปฎิบัติของตนเองเพิ่มขึ้นไปอีก โดยความเชื่อที่ถูกปรับปรุงขึ้นมาใหม่ของกลุ่มมหาสังฆิกะนี้ ได้ถูกเผยแพร่ไปทั่วอินเดีย

ต่อมาในพุทธศตวรรษที่ 4 ราวปี พศ. 400 พุทธมหาสังฆิกะ ก็ได้แตกออกไปอีก 20 กว่านิกาย โดยแต่ละลัทธินิกาย ได้นำเอาความเชื่อที่ปนเปื้อนมาแล้ว นำมาผสมผสานกับความเชื่อในสังคมท้องถิ่นของตัวเอง แล้วก็บัญญัติเป็นหลักสำคัญในพระพุทธศาสนาของฝ่ายตนเองขึ้น อย่างเช่น.- หลักแห่งพระโพธิสัตวภูมิ โดยจิตนาการสร้างพระโพธิสัตว์ขึ้นมาเอง ในชื่อ พระอวโลกิเตศวร หรือ พระปัทมปาณี (Padmapani) ซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ในรูปความกรุณาของบรรดาพระพุทธเจ้าทั้งปวง 

พระอวโลกิเตศวล หรือ พระปัทมปาณี

ปรากฏการสร้างรูปเคารพของพระองค์แตกต่างหลากหลายไปตามความเชื่อ นอกจากนี้ ในประเทศจีน ยังมี พระอวโลกิเตศวล ภาคพันกร เกิดขึ้นมาอีก 

พระอวโลกิเตศวล ภาคพันกร

พระโพธิสัตว์ในประเทศต่างๆ ปรากฏทั้งในรูป สตรีเพศ และ บุรุษเพศ, พุทธศาสนในประเทศจีน ในระยะแรกที่ได้รับอิทธิพลจาก นิกายมหายาน ก็นำเอาแนวคิดของพระอวโลกิเตศวร ต่อมาได้พัฒนาเป็นเทพเจ้าสตรี ในชื่อ พระแม่กวนอิม พระอรหันต์จี้กง เป็นต้น

พระโพธิสัตว์กวนอิม

และในประเทศจีนอีกเช่นกันยังมี นางตาราพระโพธิสัตว์ เป็นพระโพธิสัตย์ฝ่ายหญิง ของพุทธศาสนานิกายวัชรยาน ซึ่งชาวจีนยกย่องว่าเป็นตัวแทนของคุณธรรมแห่งความสำเร็จในกิจการทั้งปวง และยังนับถือกันอีกว่า พระนางตาราโพธิสัตว์เป็น ชายา ของ พระอวโลกิเตศศวลโพธิสัตว์

นางตาราโพธิสัตว์

หมายเหตุ: สงสัยว่าพระโพธิสัตว์เสพกามได้ด้วยหรือ และสงสัยต่อไปอีกว่า นางตาราพระโพธิสัตว์ ซึ่งเป็นฝ่าย พุทธนิกายวัชรยาน ยินยอมให้พระอวโลกิเตศวล ของ นิกายมหายาน เสพกามด้วยหรือ? หรือพึงพอใจที่อยากจะเสพกามด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย

ยังมีพระโพธิสัตว์ที่นับถือกันในประเทศจีนอีก ชื่อ พระคณบดีโพธิสัตว์ ซึ่งชาวจีนส่วนหนึ่งเชื่อว่า พระคณบดีเป็นพระโพธิสัตว์ที่อวยพรให้มีความมั่งคั่ง และเป็นเจ้าแห่งภูติผีทั้ง 9,000 กอง สัญลักษณ์มีกายสีแดง หรือ สีขาว มี 4 กร มือขวาถือหัวไชเท้า มือซ้ายถือขนมลาดู มือขวาบนถือขวาน มือซ้ายบนถือลูกประคำ มีเศียรเป็นช้าง ซื่งเหมือนกับพระพิฆเนศในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู 

พระคณบดีโพธิสัตว์

(หมายเหตุ: การที่พระโพธิสัตว์มีเศียรเหมือนพระพิฆเนศนี้ จึงสันนิฐานได้ว่าพุทธศาสนาที่แยกตัวออกมาจากพุทธนิกายเถรวาทเดิม ได้ไปรับเอาวัฒนธรรมของพราหมณ์-ฮินดู เข้ามา) และพระโพธิสัตว์คณบดีองค์นี้ นอกจากจะนับถือในจีนตอนเหนือแล้ว ยังนับถือกันมากใน พุทธทิเบต และ พุทธฏููฏาน

ในประเทศเนปาล ก็จิตนาการสร้างพระโพธิสัตว์ตามความเชื่อในท้องถิ่นตนเอง ที่รู้จักกันในชื่อ พระชนะพหะทยา (Jana Baha Dyah), หรือพระการุณามายา(Karunamaya), 

ส่วนชาวทิเบต ที่ส่วนใหญ่นับถือ พุทธศาสนานิกายวัชรยาน ก็ปรากฎพระโพธิสัตว์อีกองค์ในชื่อ พระเจนเรอซิก (Chenrezig) เป็นต้น

ยังมีพระโพธิสัตว์ที่นับถือกันในประทศ ญี่ปุ่น, เวียดนาม,ทิเบต,และจีนอีกองค์ที่ชื่อ พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ โดยเชื่อว่าพระโพธิองค์นี้เป็นตัวแทนของความกรุณาและสมาธิที่ดิ่งลึกของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์

พระสมันตภัทรโพธิสัตว์  

หมายเหตุ! แนวคิดพระโพธิสัตว์ภูมินี้ เป็นแนวคิดริเริ่มของพระกลุ่ม มหาสังฆิกะ ที่ยังไม่บรรลุธรรม แต่จิตนาการกันขึ้นมาเอง พอชาวพุทธประเทศต่างๆที่รับเอาแนวคิดนี้ไป ก็มโนกันต่อไปอีกเพื่อให้พระโพธิ์สัตว์ที่เขานับถือเข้ากับความเชื่อในสังคมท้องถิ่นของตนเอง จนทำให้เกิดเป็นพระโพธิสัตว์ในชื่อต่างๆอีกมากมาย

กำเนิดลัทธิมหายาน ต่อมาพัฒนาเป็น พุทธนิกายมหายาน

เมื่อถึง พุทธศตวรรษที่ 5 กลุ่มพุทธที่ถูกปนเปื้อนด้วย ลัทธิพราหมณ์ ก็พัฒนาความเชื่อที่ผิดเพี้ยนเพิ่มขึ้นต่อไปอีก โดยถือปรัชญาและหลักจริยวัตรที่ฝ่ายตนบัญญัติขึ้น ก่อตั้งสงฆ์คณะใหม่ และเรียกกลุ่มตนเองว่า “มหายาน”  

แม้จะมีที่มาไม่แน่ชัด แต่สันนิษฐานได้ว่ากลุ่มคณะสงฆ์ มหายาน ได้พัฒนาความผิดเพี้ยนมาจากกลุ่ม มหาสังฆิกะ พระสงฆ์กลุ่มนี้ได้พัฒนาแนวคิดแนวปฎิบัติ โดยไปรวบรวม ผสมผสานกับปรัชญาของนิกายพุทธศาสนาอื่นๆทั้ง 20 นิกาย รวมทั้งศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และพุทธนิกายเถรวาทต้นกำเนิดด้วย ก่อกำเนิดเป็น ลัทธิมหายาน จาก ลัทธิ ต่อมาก็พัฒนาเป็น นิกาย เรียกกลุ่มพวกตนว่า พุทธนิกายมหายาน

พุทธมหายาน

นิกายมหายาน สอนเหล่าบรรดาสาวกว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของฝ่ายเถรวาทโปรดสัตว์ให้ถึงความหลุดพ้นได้กว้างขวางก็จริง แต่นำสรรพสัตว์ไปสู่ดินแดนสุขาวดีได้ไม่หมดทุกคน แต่ พระโพธิสัตว์ของมหายาน สามารถขนหมู่สัตว์ไปสู่แดนสุขาวดีได้ทั้งหมด

นอกจากนี้ มหายานยังมีแนวคิดเรื่องการบำเพ็ญตนเป็นพระโพธิสัตว์ สร้างบารมีเพื่อช่วยเหลือเหล่าสรรพชีวิตในโลกไปสู่ความพ้นทุกข์ มหายานเป็นยานที่รื้อขนสรรพสัตว์ได้ทุกประเภททุกวัย รวมทั้งสัตว์โลกทุกรูปนาม เพื่อไปสู่แดนสุขาวดี และยานนี้ยังหมายถึงยานที่จะไปถึงพุทธภูมิ แล้วสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

พุทธมหายาน ทุกลัทธินิกายมุ่งหมายในโพธิสัตว์ภูมิ และสามารถบรรลุธรรมสูงสุดคือโพธิญาน เพียงแต่ระงับจิตใจไว้ ไม่ให้ก้าวไปสู่นิพพาน เพราะพระโพธิสัตว์ต้องการจะช่วยเหลือมนุษย์และสัตว์ทุกประเภทให้พ้นทุกข์เสียก่อน

ลัทธินิกายมหายานยังจิตนาการต่อไปอีกว่า พระพุทธเจ้าที่มีมาแล้วทุกๆพระองค์ ไม่ได้เสด็จเข้าสู่นิพพาน แต่พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ไปอยู่บนแดนสวรรค์สุขาวดีทั้งหมด

แดนสุขาวดีตามความเชื่อของนิกายมหายาน

ซึ่งต่างกับคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่มีบัญญัติไว้ในพระไตรปิฏกของพุทธเถรวาทอย่างตรงกันข้าม ที่บัญญัติว่า พระโพธิสัตว์คือผู้ที่กำลังบำเพ็ญเพียร เพื่อสะสมบุญบารมี เวียนว่ายตายเกิดมาหลายภพหลายชาติ หลายอสงไขย 

เมื่อการสะสมบุญบารของพระโพธิสัตว์มีครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ถึงจะมาอุบัติตรัสรู้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเมื่อพระองค์เสด็จปรินิพพาน ก็จะเข้าสู่แดนนิพพาน ไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก และเมื่อใดที่โลกมีความเหมาะสม พระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่ก็จะมาบังเกิดขึ้นอีก

แต่พระพุทธเจ้าจากการจินตนาการของ นิกายมหายาน จะมีการหยุดพักเสวยสุขบนแดนสวรรค์หรือแดนสุขาวดี

ข้อแตกต่างระหว่าง พุทธนิกายมหายาน ที่ใช้หลักความเชื่อ และ พุทธนิกายเถรวาท ที่ใช้ปัญญา

หลักคำสอนของลัทธินิกายมหายาน จะเน้นใช้หลัก ความเชื่อความศรัทธา มิได้ใช้ปัญญา ซึ่งต่างกับ พุทธต้นกำเนิดนิกายเถรวาท จะสอนว่า เมื่อพุทธบริษัท 4 ยึดในหลักคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วนำมาปฎิบัติ ก็จะ เกิดปัญญา สามารถพิสูจน์รู้เห็นได้ด้วยตนเอง 

ตัวอย่างเช่น พระภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ที่บำเพ็ญเพียร ก็จะเกิดปัญญาจนนำมาสู่การบรรลุธรรม สามารถดับกิเลสของตนเองได้ตามลำดับขั้นตอน ตั้งแต่พระโสดาบันไปจนถึงพระอรหันต์ คือสามารถเห็นความจริงอันประเสริฐได้ด้วยปัญญาของตัวเอง มนุษย์จะพ้นทุกข์ได้ก็เพราะตนเองที่เป็นคนกระทำ ไม่ต้องร้องขอ แล้วรอผลดลบันดาล ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือ ใครที่ไหนมาช่วย

 .. แต่ความเชื่อของพุทธนิกายมหายานต้องรอให้พระโพธิสัตว์มาโปรด 

ข้อสังเกตุ: ในความผิดเพี้ยนของนิกายมหายาน คือทั้งๆที่พระโพธิสัตว์กำลังอยู่ในขั้นบำเพ็ญเพียรเพื่อสะสมบารมี จากนั้นจึงมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า แต่ในเมื่อ พระโพธิสัตว์ยังไม่ได้ตรัสรู้ ยังไม่พ้นทุกข์ พูดตรงๆก็คือ พระโพธิสัตว์ยังเอาตัวเองไม่รอด แล้วพระโพธิสัตว์จะมาขนทั้งคนและสรรพสัตว์ไปสู่แดนสุขาวดีได้อย่างไร

ต่อมาเมื่อโปรโมทพระโพธิสัตว์ไม่ค่อยได้ผล จึงจินตนาการสร้างพระพุทธเจ้าขึ้นมาใหม่ ในนามพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า

เมื่อพุทธ นิกายมหายาน นิกายตันตระยาน และ นิกายวัชรยาน โปรโมทพระโพธิสัตว์ไม่ค่อยได้ผล จึงจิตนาการสร้างพระพุทธเจ้าขึ้นมาใหม่อีกองค์หนึ่ง ในชื่อพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า ซึ่งมีผู้นับถือกันมาก ทั้งในประเทศจีน ธิเบต ญี่ปุ่น และในประเทศไทยบางแห่ง

 พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าและพระพุทธเกษตรในคติมหายาน 

ในความเชื่อของชาวจีน รูปของพระองค์อยู่ในท่านั่งสมาธิ มีรัตนเจดีย์วางบนพระหัตถ์ แต่ในความเชื่อของชาวทิเบต พระองค์จะมีกายสีน้ำเงินเข้ม นั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ขวาถือกระปุกยาสมุนไพร พระหัตถ์ซ้ายถือบาตร เชื่อกันว่า เป็นพระพุทธเจ้าที่สามารถรักษาโรคทางกายและโรคทางกรรมของสัตว์โลก

ส่วนพุทธนิกายเถรวาทบางแห่งในประเทศไทยก็เพี้ยนไปด้วย เช่น วัดบวรนิเวศวิหาร(วัดที่ทำตามนโยบายสถาบันกษัตริย์ไทย) โดยในปี พศ. 2425 สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ทั้งที่เป็นพระในธรรมยุติกนิกาย แต่กลับนำ พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า ตามความเชื่อของพุทธนิกายอื่น มาเป็นต้นแบบสร้างพระกริ่งปวเรศ(พระกริ่งที่มีชื่อเสียงของประเทศไทย)โดยนำพระกริ่งปวเรศ แช่ในน้ำ เพื่อทำน้ำพุทธมนต์ 

พระกริ่งปวเรศ

และในพระราชพิธีเฉลิมพระชนม์พรรษาของรัชกาลที่ 5 ก็ใช้พระกริ่งปวเรศทำน้ำพุทธมนต์ในพิธีมุรธาภิเษก

ใน วัดมังกรกมลาวาส ก็เช่นกัน ภายในอุโบสถกลับมีรูปปั้นพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า ควบคู่กับพระ อมิตาภะ และพระศากยมุนี 

วัดมังกรกมลาวาส ประเทศไทย

ที่สำคัญ พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร หรือ พระโพธิสัตว์ ในชื่อต่างๆ ตามความเชื่อของพุทธนิกายมหายาน นิกายตันตระยาน นิกายวชรยาน รวมทั้งพระไภษัชยคุรุพระพุทธเจ้า ที่จินตนาการสร้างขึ้นมาใหม่ ก็ยังมีที่มาที่ไป ประวัติความเป็นมาไม่ชัดเจน 

แต่กับ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิทธัตถะมหาสมณะโคดม พระองค์มีที่มาที่ไปชัดเจน ทั้งพุทธประวัติ ชื่อพุทธมารดา ชื่อพุทธบิดา ศากยวงศ์ราชสกุล สถานที่ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน รวมทั้งพุทธกิจ ตลอด 45 พรรษา ล้วนมีระบุไว้ในพระไตรปิฎก ทั้งพระวินัย พระสูตร และพระอภิธรรม 

จากความจริงอันนี้ ก็ทำให้เห็นได้ชัดว่าพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร พระโพธิสัตว์ในชื่อต่างๆ รวมทั้ง พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า ล้วนเป็นพระโพธิสัตว์และพระพุทธเจ้าที่เกิดจากการจิตนาการขึ้นมาเอง ของพุทธที่แยกนิกายออกมาทั้งสิ้น

 

พุทธมหายานแก้ไขเปลี่ยนแปลงพระสูตร

แต่พุทธมหายาน และพุทธนิกายอื่น ก็ยังไม่กล้าประกาศแยกตัวออกจากคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมด เพียงแต่แก้ไขในพระสูตรของ พุทธนิกายเถรวาท เพิ่มเติมออกไปจากคำสอนเดิม 

พระเถระมหายาน แก้ไขเปลี่ยนแปลงพระสูตร

พระสูตรของมหายานฯลฯ ที่แก้ไขเปลี่ยนแปลง ที่สำคัญ เช่น สัทธรรม ปุณฑรีกยสูตร วิมลกีรตินิรเทศสูตร ไภษํชยคุรุสูตร เป็นต้น

แต่ พุทธเถรวาท ยึดคำสอนเดิมตามที่บัญญัติไว้ในพระไตรปิฎกเป็นภาษาบาลีอย่างเคร่งครัด ตั้งแต่ครั้งทำปฐมสังคายนา ทุกคำพูดทุกคำสอนทั้งหมดมี 84,000 พระธรรมขันธ์ ไม่เพิ่มเติม ไม่แก้ไข 

แต่การที่พุทธมหายาน และพุทธนิกายอื่น แก้ไขเพิ่มเติมพระสูตรขึ้นมาเองนั้น คนที่แก้ไขที่มาที่ไปก็ไม่แจ้งชัดว่าเป็นใคร ? บรรลุธรรมในขั้นไหน? เป็นพระอรหันต์หรือไม? ก็ไม่มีใครรู้ได้

พุทธเสิ่นเจิ้น ก๊อปเกรท A 

 
พระโพธิสัตว์ และสาวกในแดนสุขาวดี
 
ลัทธิและพุทธนิกายต่างๆ ที่แยกตัวออกมาจากพุทธเถรวาท จึงควรเรียกพวกนี้ว่า พุทธเสิ่นเจิ้น หรือ ก๊อปเกรท A :ซึ่งการพยามก๊อปหรือเรียนแบบนั้น ผู้ทำเลียนแบบทั้งหลายก็มักทำการโฆษณาโปรโมทว่าของก๊อปของพวกเขาดีกว่าของเดิม เพราะกลัวว่าผู้คนจะไม่เชื่อถือ
 
โดยเห็นได้จากการที่ศาสดาของพุทธลัทธินิกายต่างๆ พยายามสร้างให้ศาสดาของพวกตนเองเก่งกว่าพระพุทธเจ้า คือสามารถบรรลุโพธิญานได้ทั้งๆที่สะสมบุญบารมียังไม่ครบ รวมทั้งการที่โปรโมทว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของฝ่ายเถรวาทโปรดสัตว์ให้ถึงความหลุดพ้นได้กว้างขวางก็จริง แต่นำสรรพสัตว์ไปสู่ดินแดนสุขาวดีได้ไม่หมดทุกคน ต่างกับ พระโพธิสัตว์ของมหายาน ที่สามารถขนหมู่สัตว์ไปสู่แดนสุขาวดีได้ทั้งหมด
 
ข้อที่ควรพิจารณา: ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่า ถ้ามนุษย์และสัตว์ส่วนหนึ่งกำลังทำอกุศลกรรม ตลอดจนพวกที่ทำผิดศีลธรรม ทำกรรมชั่วต่างๆ ฯลฯ แต่ถ้าศาสดาจากจินตนาการที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่เหล่านั้นมาโปรด ก็จะสามารถพาสรรพสัตว์ที่ทำชั่วเหล่านั้นไปเสวยสุขในแดนสวรรค์สุขาวดีได้ทั้งหมดเลยหรือ ? 

พุทธนิกายมหายาน และนิกายอื่นๆ ได้กระจายความเชื่อที่ปรุงแต่งขึ้นมาใหม่นี้ แผ่ขยายไปทั่วทั้งเอเซียกลาง เช่นในจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ธิเบต เนปาล ฯลฯ โดยประเทศที่รับเอาความเชื่อนี้ไป ก็นำหลักความเชื่อที่เพี้ยนอยู่แล้ว นำไปปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมใหม่ให้เข้ากับวัฒนะธรรมความเชื่อในท้องถิ่นของตนเอง ก็เลยทำให้คำสอนที่เพี้ยนอยู่แล้ว กลับเพี้ยนหนักขึ้นไปอีก

พระอรหันต์จี้กง ในความเชื่อของพุทธนิกายมหายาน

นอกจากนี้บรรดาคณาจารย์ฝ่ายนิกายมหายาน และนิกายอื่นๆ ก็ยังใช้วาทกรรมดูถูก เรียกแนวปฎิบัติของศาสนาพุทธในนิกายเถรวาท ว่าเป็นพวกหีนยาน ซึงแปลว่า ยานชั้นเลวหรือยานชั้นต่ำ คือยานที่ไม่สามารถขนหมู่สัตว์ไปสู่แดนสุขาวดีได้ทั้งหมด

ต่อมาพุทธนิกายมหายาน ได้แตกไปเป็นนิกายต่างๆอีกมากมาย ทั้งนี้ก็เพราะว่า ในเมื่อมหายานปฏิเสธพระไตรปิฏกที่เป็นคำสอนดั้งเดิมของพระพุทธเจ้าได้ พวกเขาก็ปฏิเสธได้เช่นกัน จึงเกิดเป็นพุทธนิกายย่อยต่างๆมากมายในแต่ละประเทศ 

เฉพาะในอินเดียก็มีนิกายย่อยของมหายานอีก 4 นิกาย ต่อมานิกายมหายานก็แตกย่อยไปเป็นนิกายตันตระยาน และนิกายวชรยาน ขึ้นมาอีก 

ในจีนก็เกิดนิกายย่อยของมหายานอีกกว่า 15 นิกาย รวมทั้งนิกายเซ็น ก็เป็นนิกายย่อยของมหายาน มหายานในเกาหลีก็แยกย่อย 8 นิกาย, ญี่ปุ่น 11 นิกาย, ธิเบต 5 นิกาย, เนปาล 4 นิกาย, ในไทย 2 นิกาย, ส่วนนิกายจีนในไทยก็แยกย่อยไปอีก 7 นิกาย, เวียดนาม 1 นิกาย  

จีนนิกาย สายอนัมนิกาย

พุทธนิกายมหายาน ปรากฎในพุทธศตวรรษที่ 5 

และรุ่งเรืองที่สุดในระหว่าง พุทธศตวรรษที่ ถึง 10

มหายาน

มีผู้กล่าวว่า นิกายมหายาน ยังมีข้อดี

ถึงแม้ว่าพุทธนิกายมหายานจะปฏิเสธพระไตรปิฏกในบางส่วนที่เป็นคำสอนดั้งเดิมของพระพุทธเจ้า แต่ในปัจจุบันก็ยังมีทั้งพระและฆารวาทฝ่ายเถรวาทหลายท่าน ออกมาแสดงความคิดเห็นว่า ในช่วงที่พุทธฝ่ายเถรวาทได้เสื่อมลงในอินเดียนั้น ก็ได้มีพุทธสายมหายานเกิดขึ้น 

ถ้าไม่มีมหายาน ก็เป็นที่น่ากลัวว่า พุทธศาสนาจะสูญสิ้นไปโดยเร็ว ผู้นับถือก็จะน้อยลงทุกที กลายเป็นศาสนาเล็กๆในโลก แต่ ถ้าไม่มีเถรวาท ก็น่ากลัวว่าพุทธศาสนาจะถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลง ตะเลิดเปิดเปิงไป ไม่มีผู้เหนี่ยวรั้ง ไม่มีผู้รักษาหลักการเดิมตามคำสอนของพระพุทธเจ้า 

ดังนั้นพุทธทั้งสองนิกายจึงเปรียบเหมือนกับเป็นปีกทั้ง 2 ข้าง โดยปีกของมหานิกายสร้างความยิ่งใหญ่ไพศาล ส่วนปีกของเถรวาทสร้างความมั่นคง ซึ่งเป็นคำแก้ต่างให้กับนิกายมหายานที่ฟังดูแล้วสวยหรู 

กำเนิดพุทธนิกายวัชรยาน และ พุทธนิกายเซ็น 

พุทธนิกายเซ็น

ในพุทธศตวรรษที่ 7 พุทธศาสนานิกายวัชรยาน ที่แยกออกมาจากลัทธิตันตระ กำเนิดขึ้นครั้งแรกทางตะวันออกของอินเดีย เมื่อราว พ.ศ. 700 – 1200 แต่ พุทธนิกายวัชรยาน บางครั้งก็จัดเป็นส่วนหนึ่งของนิกายมหายาน แต่บางครั้งก็แยกตัวเองออกมาต่างหาก แต่หลักปรัชญาของวัชรยานเป็นแบบเดียวกับมหายาน เพียงแต่มีวิธีการหรือ “อุบาย” ที่ต่างกันออกไป นิกายวัชรยานจะมีผู้ฝึก การฝึกจะได้อิทธิพลจากลัทธิตันตระของศาสนาฮินดู(พราหมณ์) และในช่วงพุทธศตวรรษนี้พุทธนิกายเซ็นที่แยกตัวออกมาจากพุทธมหายานก็เริ่มแพร่หลายเช่นเดียวกัน

นิกายวัชรยาน ในยุคแรก จะผู้ฝึกเรียกว่า มหาสิทธา มักอยู่ตามป่า จนกระทั่งราว พ.ศ. 1400 พุทธนิกายวัชรยานจึงแพร่เข้าสู่มหาวิทยาลัยนาลันทา 
 
ต่อมา พุทธนิกายวัชรยานบางส่วน ไปรับเอาอิทธิพลของ พุทธลามกนิกายตันตระยาน จึงทำให้พุทธนิกายวัชรยานบางส่วนจึงกลายเป็นพุทธลามกไปด้วย จนกระทั่งถูกมุสลิมชาวเตริ์กทำลาย ในพุทธศตวรรษที่ 17
 
พุทธรูป ที่พุทธนิกายวัชรยานบางส่วน สร้างไว้เคารพบูชา

พุทธนิกายวัชรยาน เสื่อมจากอินเดียเมื่อราวปี พ.ศ.1700 ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการรุกรานอินเดียของชาวมุสลิม ทำให้ชาวพุทธนิกายวัชยานบางส่วน ที่ไม่ได้รับอิทธิพลของพุทธนิกายลามกตันตระยาน สามารถหนีการไล่ล่าของพวกมุสลิมชาวเตริ์ก ไปแพร่หลายในทิเบต จนกลายเป็นพุทธนิกายหลักในธิเบต จนถึงปัจจุบัน และพุทธวชิรยานบางส่วนยังได้แพร่หลายต่อไป เกิดเป็น นิกายเชนเหยนหรือมี่จุง ในจีน และกลายเป็น นิกายชินกอน ในญี่ปุ่น

กำเนิดนาลันทามหาวิหาร

ในราวพุทศตวรรษที่ 9 ราวปีพศ.800 กว่า ราชวงศ์คุปตะสามารถรวบรวมอินเดียได้เป็นหนึ่งเดียว จักรพรรดิ์ในราชวงศ์คุปตะได้ยกย่องให้พุทธศาสนาเป็นศาสนาในราชสำนักควบคู่กับศาสนาพราหมณ์ 
 
จนมาถึงรัชกาล จักรพรรดิ์กุมารคุปตะ พระองค์ได้สร้างวิหารขึ้นในเมืองนาลันทา ซึ่งมหาวิหารนี้ได้กลายเป็นมหาวิทยาลัยนาลันทาในเวลาต่อมา ทำให้พุทธศาสนาในอินเดียมีโอกาสฟื้นตัวขึ้นมาอีกครั้ง จนกลายเป็นศูนย์กลางของโลกพุทธศาสนาไปในที่สุด แต่อย่างไรก็ตาม มหาวิทยาลัยนาลันทา ก็มิได้เป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนาดั่งเดิมคือนิกายเถรวาทแต่อย่างใด หากแต่เป็นศูนย์กลางของพุทธนิกายมหายาน ที่ปนเปื้อนด้วยความเชื่อของลัทธิพราหมณ์(ฮินดู)เป็นส่วนใหญ่ 

นาลันทามหาวิหาร
และในช่วงพุทธศตวรรษเดียวกันนี้ แนวคิดของฮินดู(พราหมณ์)ได้เข้ามาปะปนในหลักสูตรคำสอนของมหาวิทยาลัยนาลันทามากขึ้นไปอีก จนทำให้พุทธศาสนาฝ่ายมหายานที่ปนเปื้อนอยู่แล้ว ก็ค่อยๆถูกกลืน และตีความผิดเพี้ยนไปเรื่อยๆ จนต่อมาได้นำไปสู่การเกิดขึ้นของพุทธนิกายใหม่ เรียกว่า พุทธนิกายตันตระยาน ซึ่ง พุทธฝ่ายมหายาน เรียกกลุ่มพุทธนิกายตันตระยานว่าพวกพระนอกรีด เพราะพุทธนิกายตันตระยาน ได้บัญญัติวิชาอุตริในวิชาการต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นวิชาไสยเวทย์ วิชาคาถาอาคมต่างๆ เป็นต้น

ปรมาจารย์ตั๊กม้อ เป็นผู้เผยแพร่พุทธนิกายเซ็นในจีน และต้นกำเนิดวิชากังฟู

รัชทายาทตั็กม้อ ลี้ภัย

ต่อมาในราวพุทธศตวรรษที่ 10 ถึง 13 พุทธมหายานนิกายเซ็น ก็เป็นที่แพร่หลายในอินเดียเช่นกัน และในช่วงพุทธศตวรรษนี้เอง ปรมาจารย์ตั๊กม้อ ก็ถือกำเนิดขึ้น ท่านเกิดเมื่อปี พศ.1013 เป็นเจ้าชายองค์ที่ 3 ของผู้ครองนครอินเดียทางตอนใต้(ชาวทมิฬ) ต่อมาผู้ครองนคร ได้ตั้งท่านตั๊กม้อให้เป็นรัชทายาทผู้สืบทอดราชบัลลังก์ 
 
แต่พอพระราชบิดาเสียชีวิต พระเชษฐา คนไม่พอใจ จึงสั่งทหารไล่ลา แต่รัชทายาทตั๊กม้อ ก็สามารถหนีรอดออกมาได้ จากนั้นท่านก็เบื่อหน่ายในชีวิตฆารวาท จึงไปบวชกับพระมหายาน นิกายเซ็น โดยท่านมีชื่อว่า พระโพธิธรรม หรือที่ต่อมาชาวจีนเรียกท่านว่า ปรมาจารย์ตั๊กม้อ  
 
 
ปรมาจารย์ตั็กม้อ กำเนิดวิชากังฟู
 
ต่อมาในพศ. 1063 เมื่อพระโพธิธรรมอายุได้ 50 ปี ท่านจึงออกเดินทางไปแผยแพร่พุทธนิกายเซ็นในประเทศจีน และท่านยังได้เป็นผู้คิดค้นการออกกำลังกายด้วยการร่ายรำ ต่อมาท่าร่ายรำที่ท่านคิดค้น ก็กลายเป็นต้นตำรับวิชากังฟู และเป็นต้นแบบในวิชาการต่อสู้ของวัดเส้าหลินในเวลาต่อมา 
 
ซึ่งท่าร่ายรำที่ท่านคิดค้นนั้น มีรากฐานมาจากวิชาโยคะ ของชาวทมิฬอินเดีย และต่อมาท่านปรมาจารย์ตั๊กม้อก็ได้เป็นผู้วางรากฐานพุทธนิกายเซ็นในจีน และต่อมานิกายเซ็นในจีนได้กระจายสู่ประเทศเกาหลีและญี่ปุ่น

หลวงจีนวัดเส้าหลิน
 
ส่วนวิชากังฟูแรกเริ่มนั้นสันนิฐานว่า ท่านปรมาจารย์ตั๊กม้อบัญญัติขึ้นมาเพราะภูมิอากาศของประเทศอินเดียตอนใต้เป็นเขตร้อน แต่เมื่อท่านเดินทางมาเผยแพร่พุทธศาสนาในประเทศจีนที่มีอากาศหนาว ท่านจึงเห็นความจำเป็นในการออกกำลังกาย เพื่อให้คลายหนาว และท่านคงเห็นว่าการออกกำลังกายด้วยวิธีการธรรมดามันน่าเบื่อ 
 
และเนื่องจากการเดินทางจากอินเดียมาสู่จีน ท่านต้องเดินทางผ่านป่าเขา ได้พบเห็นสิงห์สาราสัตว์มามากมายหลายประเภท ด้วยเหตุนี้ท่านจึงเลียนแบบอากับกริยาของสัตว์ประเภทต่างๆที่ท่านพบเห็นมา คิดค้นเป็นท่าออกกำลังกาย ในหลายรูปแบบ 
 
และในสมัยต่อมาทั้งหลวงจีนวัดเส้าหลิน และชาวจีนในรุ่นหลังๆ ก็ได้ดัดแปลงท่าออกกำลังกาย ให้กลายมาเป็นท่าที่ใช้ในการต่อสู้ โดยเรียกว่า วิชากังฟู
 
มวยกังฟูถูกฟื้นฟูในสมัยราชวงศ์ชิง ในยุคพระนางซูสีไทเฮา

มวยกังฟูในยุคราชวงศ์ชิง
 
ส่วนวิวัฒนาการของวิชากังฟูนั้น เมื่อถึงพุทธศตวรรษที่ 24 ในปลายสมัยราชวงศ์ชิง วิชาการต่อสู้แบบกังฟู ได้ถูกนำมาฟื้นฟูและรุ่งเรืองในประเทศจีน เมื่อชาติตะวันตกอังกฤษได้เข้ามาแผ่อิทธิพลทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ 
 
หวง เฟยหง ผู้นำทางจิตวิญญานของนักสู้มวยกังฟู
 
โดยอังกฤษใช้ฝิ่นมอมเมาชาวจีนให้มีสุขภาพอ่อนแอ จนไม่อาจลุกขึ้นสู้ ทำให้ชาวจีนที่รักชาติอยากกลับมามีสุขภาพแข็งแรง เพื่อต้องการลุกขึ้นสู้กับชาติตะวันตก  สำนักมวยกังฟูจึงเกิดขึ้นมายมายหลายสำนัก โดยมี หวงเฟยหง ปรมาจารย์กังฟูและแพทย์จีน เป็นผู้นำทางจิตวิญญานของนักสู้มวยกังฟู
 
หวง เฟยหง จากแพทย์จีนสู่ปรมาจารย์มวยกังฟู
 
ในปี พ.ศ. 2443 ราชสำนักจีนโดยพระนางซูสีไทเฮา ต้องการต่อต้านชาติตะวันตกเช่นกัน จึงให้การสนับสนุนพวกนักมวยกังฟู จนเกิดกบฎนักมวยขึ้น เพื่อต่อต้านชาวต่างชาติ แต่ต่อมากบฏนักมวยกังฟูทั้งหลาย ก็ถูกปราบโดยชาติตัวันตก

กบฎนักมวย

บรูซ ลี ผู้จุดประกายวิชามวยกังฟูขึ้นมาใหม่

วิชามวยกังฟูก็เก่งแต่ในโลกภาพยนต์เท่านั้น

ต่อมาในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 25 ชาวจีนโพ้นทะเลซึ่งอพยพหนีภัยสงครามไปอาศัยอยู่ทั่วโลก ได้นำวิชาการต่อสู้กังฟู มาเผยแพร่ต่อชาวโลกอีกครั้ง แต่ที่มีชื่อเสียงที่สุดจนโด่งดังไปทั่วโลก คือ บรูซ ลี เป็นชาวจีน เกิดที่ซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา
 
เขาเป็นดาราจีนที่โด่งดังในภาพยนต์ระดับฮอลลีวูด บูซ ลี มีความสามารถด้านศิลปะการต่อสู้แบบกังฟู ภาพยนต์ที่เขาแสดงได้เผยแพร่ไปทั่วโลก ทำให้ชาวจีนที่อาศัยอยู่ในประเทศจีนและชาวจีนโพ้นทะเล คลั่งไคล้ในตัวเขา จนหลงผิด คิดไปเองว่าวิชาการต่อสู้มวยกังฟู เป็นศิลปะการต่อสู้ที่ดีที่สุดในโลก 
 
แต่ในปัจจุบันก็เป็นที่พิสูจน์ได้แล้วว่า มวยกังฟู เป็นวิชามายาที่เก่งแต่ในโลกภาพยนต์เท่านั้น เพราะในปัจจุบันเมื่อนักมวยกังฟู ได้มีการต่อสู้จริงบนเวที ทั้งกับนักมวยไทย และผู้ที่ฝึกมวยไทย รวมทั้งการต่อสู้แบบ MMA หรือศิลปะการต่อสู้แบบผสม (คือการต่อสู้ที่รวมเอาศิลปะการต่อสู้หลายแขนงเข้าไว้ด้วยกัน อย่างเช่น มวยไทย มวยสากล ยูโด มวยปล้ำ คาราเต้ แซมโบ บลาซิลเลี่ยน และยูยิสสู มวยกังฟูก็พ่ายแพ้อย่างย่อยยับ ทั้งนี้ก็เป็นเพราะว่า ท่าออกกำลังกาย เมื่อดัดแปลงเป็นวิชามวยกังฟู และนำเอามาใช้จริงมันจึงไม่ได้ผล      
 
แต่เมื่อมองย้อนกลับไปดูในเจตนาเดิมซึ่งเป็นจุดกำเนิดของวิชากังฟู ก็จะพบว่าปรมาจารย์ตั๊กม้อ ท่านบัญญัติท่าออกกำลังกายมาเพื่อสุขภาพ และให้คลายหนาวเท่านั้น อย่าลืมว่าท่านเป็นพระ ท่านคงไม่ต้องการให้พระที่ควรจะสำรวมและถือศีลไปเตะต่อยกับฆารวาท

จาง ซันเฟิง หรือ เตียซำฮง จากศาสนาพุทธสู่ลัทธิเต๋า ผู้บัญญัติวิชาไท่เก็ก
 
ปรมาจารย์ จาง ซันเฟิง
  
ปรมาจารย์จาง ซันเฟิง หรือ เตียซำฮง ท่านเป็นนักบวชหรือที่เรียกว่านักพรตในลัทธิเต๋า ที่เคยนับถือศาสนาพุทธนิกายเซ็นมาก่อน และ ท่านมีตัวตนอยู่จริงในประวัติศาสตร์จีน โดยก่อนที่ท่านจะมาเป็นเจ้าสำนักบู๊ตึ๊งนั้น ท่านเคยเป็นศิษย์ของวัดเส้าหลิน ในช่วงที่อยู่ในวัดเส้าหลินท่านได้เห็น ได้ฝึกท่าออกกำลังกาย (กังฟู) ที่คิดค้นโดยปรมาจารย์ตั๊กม้อ ภายในวัดเส้าหลินมาก่อน  
 
จึงสันนิษฐานว่า วิชาไท่เก็ก ที่ท่านบัญญัติขึ้นมานั้น ท่านบัญญัติมาจากแรงบันดาลใจที่เคยได้เห็น ได้ฝึกท่าออกกำลังกาย(กังฟู)มาก่อนนั่นเอง

ไท่เก็กคือท่าร่ายรำออกกำลังกายที่ใช้ในการฝึกสติ
 
ไท่เก็ก คือท่ารำมวยที่ใช้ในการฝึกสติ
 
ถ้าชาวพุทธพิจารณาสังเกตุให้ดี ก็จะเห็นว่า เจตนารมย์ที่แท้จริงของท่านปรมาจารย์จาง ซันเฟิง ในวิชาไท่เก็กนั้น ท่านบัญญัติท่าออกกำลังกายมา ก็เพื่อให้นักพรตและลูกศิษย์ฆารวาท ในสำนักบู๊ตึ๊ง ใช้ในการฝึกสติ และไม่ว่าท่านปรมาจารย์จาง ซันเฟิง จะมีเจตนาหรือไม่ก็ตาม แต่ท่าร่ายรำในวิชาไท่เก็กนั้น คล้ายกับการฝึกปฎิบัติวิปัสนากรรมฐาน เหมือนการเดินจงกรม ที่ใช้สติเข้าไปแนบกับจิต ใช้สติเข้าไปควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย 
 
ซึ่งเป็นกรรมฐานข้อแรกของการฝึก กายานุปัสนาสติปัฎธาน ในมหาสติปัฎฐาน 4 เพราะท่าร่ายรำออกกำลังกายอย่างช้าๆ ของวิชาไท่เก็กนั้น มันก็คือการเอาสติเข้าไปกำกับให้รู้เท่าทันการเคลื่อนไหวของร่างกายในทุกอากับกริยาในการวาดมือวาดเท้านั่นเอง

พระถังซำจั๋ง เผยแพร่พุทธศาสนานิกายมหายานในจีน

ในพุทธศตวรรษที่ 11-12  ในช่วงระหว่างปี พศ.1188 ถึงปีพศ.1207
 
พระถังซำจั๋ง
 
พระถังซัมจั๋ง ท่านเกิดในปีพศ.1143 มีชื่อจริงว่า “เสวียนจั้ง” ท่านได้นำ พุทธศาสนานิกายมหายาน ที่คัดลอกมาจากมหาวิทยาลัยนาลันทาในอินเดีย มาเผยแพร่ในจีน แต่เป็นที่น่าเสียดาย เพราะพระไตรปิฏกที่ท่านคัดลอกมานั้น เป็นพระไตรปิฏกฉบับภาษาสันสกฤต ที่ถูกผสมปนเปื้อนด้วยอิทธิพลความเชื่อของพุทธนิกายมหายานและพราหมณ์-ฮินดู

ประวัติความเป็นมาของพระถังซำจั๋งมีดังนี้.- เมื่อท่านอายุ 11 ปีท่านไปอาศัยอยู่กับพี่ชายที่วัดเฉิงตู โดยอาศัยอยู่นาน 5 ปี ในระหว่างนั้น ท่านได้ศึกษาหาความรู้ใน พุทธศาสนานิกายมหายาน (ที่ถูกนำเข้าสู่จีนตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 5แล้ว) จนท่านเสวียนจั้งสามารถสวดพระคัมภีร์ได้  พออายุ 13 ปี ท่านก็บวชเป็นสามเณร จนเมื่ออายุ 18 ปี ท่านเป็นสามเณรที่มีชื่อเสียงมาก เพราะเป็นผู้ที่แตกฉานในพระไตรปิฎกของมหายาน 
 
เมื่อท่านมีอายุครบ 20 ปี จึงได้รับการอุปสมบทเป็นพระภิกษุที่เมืองเฉินตู จากนั้นท่านก็เที่ยวเดินทางไปศึกษาหาความรู้ในพระธรรมไปทั่ว ต่อมาเมื่อท่านเรียนรู้ในคัมภีร์มากเข้า ท่านก็พบว่าคัมภีร์ที่มีอยู่ในจีนขณะนั้น มีเนื้อความที่แตกต่างกันอย่างมาก เพราะมีพระเถระฝ่ายมหายานหลายรูป ตีความกันตามความเชื่อของตนเองอย่างไม่ถูกต้อง และท่านยังพบอีกว่าคัมภีร์เพียงเล่มเดียว แต่มีผู้แปลผู้ตีความไปในความหมายที่แตกต่างกัน และมีเนื้อหาส่วนใหญ่ที่ขัดแย้งกันเอง ทำให้ไม่พบคัมภีร์เล่มไหนในจีนที่จะเป็นมาตรฐานได้เลย

พระถังซำจั๋ง คัดลอกความปนเปื้อน

ด้วยเหตุนี้ พระถังซำจั๋งจึงตั้งจิตปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะเดินทางไปมหาวิทยาลัยนาลันทาในอินเดีย เพราะในตอนนั้นท่านเข้าใจว่า มหาวิทยาลัยนาลันทาเป็นแหล่งต้นกำเนิดดั้งเดิมของพุทธศาสนา โดยที่ท่านไม่รู้ว่าพระคัมภีร์พุทธศาสนาดั้งเดิมนิกายเถรวาท ที่ได้ถูกบันทึกลงในพระไตรปิฎกเป็นภาษาบาลี ได้ถูกย้ายมาเจริญรุ่งเรืองในสุวรรณภูมิแล้ว

โดยก่อนที่ท่านจะเดินทางมาอินเดีย ท่านรู้มาว่าคัมภีร์พระไตรปิฏกในมหาวิทยาลัยนาลันทานั้น ถูกบันทึกด้วยภาษาสันสกฤต ดังนั้นท่านจึงศึกษาในภาษาสันสกฤตเป็นเวลา 1ปี เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเดินทางไปศึกษาพระธรรมที่อินเดีย

สู่ดินแดน ต้นกำเนิดพุทธ

เมื่อถึงปีพศ.1171 พระถังซำจั๋งอายุได้ 28 ปี กษัตริย์ถังไท้จงฮ่องเต้ ไม่อนุญาตให้ประชาชนเดินทางออกนอกประเทศ  เพราะกำลังเกิดศึกสงครามบริเวณชายแดน พระถังซำจั๋ง และคณะ จึงลอบเดินทางไปอินเดีย และในช่วงการเดินทางนี้เอง พระถังซำจั๋ง และลูกศิษย์คณะเดินทาง ต้องผ่านทั้งอุปสรรค ภัยอันตรายที่มาจากคนและธรรมชาติมากมาย 

กว่าที่ท่านและคณะลูกศิษย์จะเดินทางถึงมหาวิทยาลัยนาลันทา ท่านต้องเผชิญกับกลิ่นอายแห่งความตายตลบอบอวนตลอดการเดินทาง ท่านใช้เวลาในการเดินทางถึง 3 ปี จนในที่สุดก็เดินทางมาถึงมหาวิทยาลัยนาลันทาในต้นเดือนตุลาคม ปี พศ. 1174

ในที่สุดก็เดินทางมาถึง นาลันทามหาวิหาร

พระถังซัมจั๋ง ได้ใช้เวลาศึกษาพระธรรมที่มหาวิทยาลัยนาลันทาประมาณ 5 ปี จนแตกฉาน จากนั้นท่านก็จาริกแสวงบุญเพิ่มเติมในพุทธสถานทุกแห่งในอินเดีย เพื่อศึกษาหาความรู้ทางธรรมให้กระจ่างชัดยิ่งขึ้น อีก11ปี รวมระยะเวลาศึกษาพระธรรมและเดินทางไปกลับทั้งสิ้น 19 ปี

พระถังซัมจั๋ง เดินทางกลับจีน พร้อมทั้งนำพระไตรปิฎกฉบับปนเปื้อนที่เป็นภาษาสันสกฤตกลับมาด้วย พระไตรปิฏกมีจำนวนทั้งสิ้น 257 เล่มสมุด บรรทุกด้วยม้า 20 ตัว พร้อมกับนำพระบรมสารีริกธาตุ150องค์

เผยแพร่พุทธศาสนาในจีนได้สำเร็จ ในสมัยจักรพรรดินี”บูเช็คเทียน

จักรรพรรดินี บู เช็คเทียน
  
พระถังซำจั๋ง เดินทางถึงเมืองหลวงของจีน เมืองฉางอาน ในปี พ.ศ. 1188 ในสมัยพระเจ้าถังไท่จงฮ่องเต้ พระองค์ทรงอุปถัมภ์การแปลพระไตรปิฎก(มหายาน) จากภาษาสันสกฤตเป็นภาษาจีน และพระเจ้าถังไท่จง ได้ทรงอาราธนาพระถังซัมจั๋ง ให้เขียนบันทึกการเดินทางในช่วงไปอินเดีย พระถังซัมจั๋งดำเนินงานต่อไปจนมรณภาพในปี พ.ศ. 1207 

ในช่วงที่ท่านยังไม่มรณะภาพ พระถังซำจั๋ง พบว่าการเผยแพร่พุทธศาสนาในจีนไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากราชสำนักในขณะนั้นฮ่องเต้ยังยึดถือลัทธิและหลักคำสอนของขงจื้อ และกว่าที่ท่านจะกล่อมฮ่องเต้ให้หันมานับถือศาสนาพุทธได้ ก็ต้องใช้เวลากว่า 20 ปี จึงสำเร็จในยุคของจักรพรรดินีบูเช็คเทียน

สาเหตุที่เผยแพร่พุทธศาสนในจีนได้สำเร็จ 

เนื่องจากพระนางบูเช็คเทียน ตอนเป็นพระสนมของจักรพรรดิไท่จง จนเมื่อจักรพรรดิไท่จงสิ้นพระชนม์ลงนั้น ตามพระราชประเพณีโบราณของราชสำนัก หากพระมเหสีหรือนางสนมคนใด ไม่มีพระราชโอรสหรือพระราชธิดา และเมื่อจักรพรรดิสิ้นพระชนม์ลง พระมเหสีหรือนางสนมเหล่านั้น จะต้องออกจากราชสำนักและบวชเข้าสำนักสงฆ์ตลอดชีวิต ดังนั้นพระนาง บูเช็กเทียน จึงถูกส่งตัวไปยัง วัดก่านเย่ ซึ่งเป็นวัดในพุทธศาสนา เพื่อบวชเป็นภิกษุณี จนกว่าชีวิตจะหาไม่

และการที่พระนางได้บวชในวัดของพระพุทธศาสนาเป็นระยะเวลา 2 ปีนี้เอง จึงทำให้พระนางสามารถเรียนรู้หนังสือ จนอ่านออกเขียนได้เหมือนผู้ชาย (ในสมัยนั้นผู้หญิงห้ามเรียนหนังสือ) พระนางจึงให้ความสำคัญกับพุทธศาสนา มากกว่าลัทธิเต๋า และคำสอนของขงจื้อที่กีดกันไม่ให้ผู้หญิงเรียนหนังสือ 

จนเมื่อพระนางทรงมีอำนาจขึ้นมาเป็นจักรพรรดินีของจีน พระนางจึงทุ่มเททุกอย่างเพื่อสนับสนุนพุทธศาสนา ทำให้พุทธศาสนากลายเป็นศาสนาประจำชาติจีนในยุคนี้เอง

ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เหล่าบรรดาสาวกของขงจื้อ และเหล่าบรรดาสาวกของลัทธิเต๋า ที่เป็นผู้ชายและเป็นผู้คงแก่เรียนจำนวนมากไม่พอใจ จึงบันทึกประวัติศาสตร์ของพระนางบูเช็คเทียน ไปในทางเลวร้าย อย่างเช่น เป็นคนโหดร้าย กิเลสหนา ตัญหาจัด เลี้ยงชายไว้บำเรอกาม เป็นต้น 

การสอบจอหงวนเกิดขึ้นครั้งแรก ในสมัยจักรพรรดินีบูเช็คเทียน

แต่ในบันทึกประวัติศาสตร์จีนอื่นๆกลับบันทึกไว้ว่าในยุคของพระนางบูเช็คเทียน ประเทศจีนมีความเจริญรุ่งเรืองประชาชนอยู่กันอย่างมีความสุข เพราะพระนางบูเช็คเทียนได้พัฒนาประเทศ ในหลายๆด้าน รวมทั้งการส่งเสริมและเผยแพร่ชักจูงให้ประชาชนมีการศึกษา ด้วยระบบ การสอบจอหงวน เพื่อให้บัณฑิตผู้ที่มีความรู้ความสามารถ ได้มีโอกาสเข้ามารับราชการบริหารประเทศ โดยไม่คำนึงถึงชนชั้น 

จอหงวน ใครๆก็สอบได้

และพระนางยังส่งเสริมและยกระดับบทบาทของสตรีเพศให้เทียบเท่าชายในการเรียนรู้หนังสือ และเปิดโอกาสให้สตรีเข้ารับตำแหน่งราชการในระดับสูง นอกจากนี้พระนางยังให้ความเป็นธรรมแก่ประชาชนด้วยการลดภาษีอากรที่กดขี่ ส่งเสริมการเกษตร และการสร้างงาน ทำให้ประเทศจีนในยุคของพระนางมีความเข้มแข็งเจริญรุ่งเรือง และสามารถพัฒนาด้านเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็ว

และการสอบจอหงวน เพื่อคัดเลือกประชาชนผู้ใฝ่เรียนจากบัณฑิตมาเป็นขุนนาง ก็ยังทำต่อเนื่องกันมาทุกยุคทุกสมัยของราชวงศ์จีน จนล่าสุดในยุคราชวงศ์ชิง

รูปภาพ ผู้สอบได้จอหงวนในยุคราชวงศ์ชิง

พระนางบูเช็กเทียน ยังส่งเสริม และให้ความสำคัญแก่พระพุทธศาสนา มากกว่าลัทธิขงจื้อ และลัทธิเต๋า โดยจัดให้มีการสร้างวัดและปฏิมากรรมในถ้ำ เช่น ถ้ำผาหลงเหมิน กล่าวได้ว่าพระพุทธศาสนาได้รับการพัฒนาอย่างสูงสุดในประเทศจีนในช่วงยุคของพระนาง ต่อมาเมื่อหมดยุคของพระนาง ลัทธิขงจื้อ และลัทธิเต๋า ก็กลับมามีอิทธิพลในจีนเหนือศาสนาพุทธอีกครั้ง
 
ถ้ำผาหลงเหมิน

การทำลายพุทธศาสนา ที่นำโดย พราหมณ์ศังกราจารย์
 
พราหมณ์ศังกราจารย์ ผู้ทำลายพุทธศาสนา
 
ต่อมาในช่วงระหว่างพุทธศตวรรษที่ 14 จนถึงพุทธศตวรรษที่ 17 ในประเทศอินเดีย มีนักบวชในศาสนาพราหมณ์ นามว่า ศังกราจารย์ ได้วางแผนทำลายพุทธศาสนาอย่างแนบเนียน ทำลายอย่างช้าๆ ด้วยการแปลงคำสอนของพุทธศาสนา ให้อ้างอิงกับหลักคำสอนของฮินดู(พราห์มณ์)ให้มากขึ้น จนถึงขั้นประกาศว่าพระโคดมพุทธเจ้า เป็นปางหนึ่งของพระนารายณ์ ทั้งนี้ก็เพื่อให้พระพุทธเจ้าเป็นเพียงเทพองค์หนึ่งของศาสนาพราห์ม-ฮินดู
 
ในขณะที่พุทธศาสนาในอินเดียเรื่มเพี้ยนไปนั้น ศาสนาพุทธนิกายมหายานในเอเซียกลางก็เริ่มกลายพันธ์ตามความเชื่อในท้องถิ่นของตัวเองไปด้วย อย่างเช่น พุทธศาสนาในจีน เกาหลี ญี่ปุ่นฯ ก็ได้หลอมรวมกับลัทธิขงจื้อ และลัทธิเต๋า จนกลายเป็นเนื้อเดียวกันจนแยกไม่ออก

แม้กระทั่งพุทธศาสนา นิกายเถรวาท ในประเทศ เขมร ลาว พม่า และบางส่วนของประเทศไทยในปัจจุบัน ก็ยังผสมกลมกลืนระหว่างความเชื่อแบบฮินดู(พราหมณ์) และการบูชาผี ควบคู่ไปกับการที่เรียกตัวเองว่าเป็นชาวพุทธ มาถึงยุคนี้ก็เห็นได้ชัดว่าศาสนาพุทธได้เติบโตไปคนละทิศคนละทาง จนจับทางกันไม่ถูกว่าแก่นแท้ของศาสนาพุทธคืออะไรกันแน่

ขะชุรโห วิหารอีโรติก ศิลปะกามสูตรแห่งการหลุดพ้น! 

และในช่วงพุทธศตวรรษเดียวกันนี้เอง สังคมอินเดียของชาวพราห์ม-ฮินดู ก็ได้เกิด ลัทธิตันตระ ขึ้น โดยความเชื่อของลัทธิตันตระ ได้ถูกแสดงออกด้วยรูปปั้นแกะสลัก การเสพสังวาสของชายหญิง ซึ่งมีให้เห็นมากมายภายในวิหารของชาวพราห์ม-ฮินดู ที่เมือง ขะชุรโห รัฐมัธยประเทศ ที่ตั้งอยู่ตอนกลางประเทศอินเดีย

ภาพแกะสลักลามกในวิหาร ขะชุรโห ของพราหมณ์-ฮินดู ในลัทธิตันตระ

นอกจากนี้ ลัทธิตันตระ ยังสร้างมนต์ขลังให้ตื่นตาตื่นใจให้กับคนส่วนใหญ่ในสังคมยุคนั้น ด้วยเวทย์มนต์ คาถา และศาสตร์อันลี้ลับ ซึ่งสามารถกระตุ้นความปรารถนาในความอยากรู้ของมนุษย์ได้อย่างรวดเร็ว ลัทธิตันตระ ของชาวฮินดูมีความเชื่อ โดยสอนเหล่าบรรดาสาวก และป่าวประกาศความเชื่อของพวกเขาไปทั่วว่า 

การเข้าถึงจุดมุ่งหมายสูงสุดของชีวิต คือการหลอมรวมจิตวิญญานของมนุษย์ ให้เป็นหนึ่งเดียวกับเทพเจ้าสูงสุด โดยเชื่อว่าการเสพสังวาสของชายหญิงนั้น ก็เพื่อให้เกิดความเบื่อหน่ายในตันหาราคะ เพื่อที่จะก้าวไปให้ถึงความหลุดพ้น ยิ่งกว่านั้นยังสอนว่ามารดากับบุตร และพี่กับน้องร่วมเพศกันได้โดยไม่ผิดศีลธรรม เป็นต้น ซึ่งชี้ให้เห็นว่า เป็นเหมือนกระจกเงาที่สะท้อนสังคมอินเดียในยุคนั้นว่าตกต่ำถึงเพียงใด

ภาพแกะสลักลามกใน ขะชุรโห

ลัทธิตันตระ พัฒนามาเป็น พุทธเกิดใหม่ นิกายตันตระยาน หรือวัชรยาน

จากลัทธิพัฒนามาเป็นนิกาย

จนในที่สุดความเชื่อใน ลัทธิตันตระ ของพราหมณ์-ฮินดู ก็ค่อยๆซึมซาบเข้าสู่แนวคิดของ พุทธนิกาย มหายาน จนทำให้ พุทธนิกายมหายานบางส่วน ที่เชื่อศรัทธาในลัทธินี้ ก็รวมตัวกันไปตั้ง พุทธนิกายใหม่ในชื่อ พุทธนิกายตันตระยาน 

พุทธนิกายตันตระยาน ได้เกิดขึ้นอย่างเต็มตัวตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 14 ในการอุปถัมภ์ของราชวงศ์ปาละ โดยพุทธนิกายตันตระยานก็ยังแบ่งแยกไปอีกหลายกลุ่ม แต่ทุกกลุ่ม ก็ยังนับถือพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร หรือ พระปัทมปาณี เหมือนกับพุทธนิกายมหายานด้วยเช่นกัน

พระและสาวกของพุทธนิกายตันตระยานในยุคนั้นของอินเดีย เชื่อว่าการเสพสังวาสของชาย-หญิง เป็นสิ่งที่ควรปฎิบัติ เพราะเป็นการสื่อให้ถึงความเบื่อหน่าย คือต้องเสพสังวาสเพื่อให้เกิดการเบื่อหน่ายต่อตัณหาราคะ ทั้งนี้ก็เพื่อก้าวไปสู่ความหลุดพ้น

ต่อมา พุทธนิกายตันตระยาน ได้สร้างวัดเป็นของตัวเองขึ้นในรัฐโอริสสา ที่รัตนศิรี ในวัดนี้จะมีห้องฝึกกรรมฐานที่ปรากฎเป็นหลักฐานอยู่จนถึงปัจจุบัน เรียกว่าห้องฝึกฝนจิต โดยในห้องฝึกกรรมฐานนี้ พระจะเข้าไปฝึกฝนจิตด้วยการนำสตรเข้าไปเสพเมถุนบ้าง เข้าไปดื่มสุราบ้าง และยังเป็นห้องที่ใช้ฝึกคาถาอาคมไสยเวท มนต์ดำ ซึ่งทั้งหมดเป็นขั้นตอนของการฝึกฝนจิต ตามความเชื่อของพระนิกายตันตระยาน โดยเชื่อว่า ตัณหา-ราคะ เป็นเพียงสิ่งลวง เป็นมายา พุทธตันตระ เชื่อว่า กิเลสตัณหาต้องดับด้วยตัณหา

ดังนั้นการที่จะปลดเปลื้องตัวเองให้หลุดพ้นจาก ตัณหา-ราคะ ไม่ใช่การทำลายหรือการสอนให้ละเหมือนอย่างเช่นคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่พระของนิกายตันตระยานต้องเปลี่ยนตัวเองให้รู้แจ้งเห็นจริง ด้วยการเข้าไปเสพเมถุน-ดื่มสุรา และฝึกคาถาอาคม ไสยเวท มนต์ดำในห้องฝึกกรรมฐานเพื่อฝึกฝนจิตด้วยตัวเอง เพื่อให้เกิดปัญญา ถึงจะหลุดพ้นจากบ่วงตัณหา-ราคะทั้งปวงได้

และจากการประพฤติปฎิบัติอันลามกของพระนิกายตันตระยานในวัดรัตนศิรีนี้เอง ทำให้ชาวพุทธเสื่อมความนิยม สิ้นศรัทธา ละทิ้งวัดไปเอง ศาสนาพุทธในยุคนี้ได้ถูกทำลายด้วยการกระทำของตัวเอง ไม่ได้ถูกอิสลามบุกทำลายเหมือนกับวัดพุทธในที่อื่นๆ พุทธนิกายตันตระยาน รุ่งเรืองอยู่ 400 ปี ในช่วงระหว่างพุทธศตวรรษที่ 14 จนถึง พุทธศตวรรษที่ 17

หมายเหตุ! ต่อมาพุทธนิกายนี้ส่วนหนึ่งไม่ใช่ทั้งหมด นอกจากในอินเดียแล้ว ยังได้ถูกเผยแพร่ไปใน ธิเบต ภูฏาน และเนปาล

อิสลามบุกทำลายทุกศาสนา 

ศาสนาพุทธในอินเดียถูกกวาดล้างทำลาย ในพุทธศตวรรษที่ 17 

กองทัพอิสลามโดยนักรบชาวเตริ๊กได้เริ่มบุกยึดดินแดนและทำลายศาสนาอื่นมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่12 แล้ว โดยก่อนหน้านั้นในช่วงพุทธศตวรรษที่ 11 ได้เกิดศาสดาองค์ใหม่ของศาสนาอิสลาม ชื่อ นบีมุฮัมมัด เป็นชาวอาหรับ กำเนิดที่เมืองมักกะฮ์ ประเทศซาอุดิอารเบีย 

นบีมุฮัมมัด อ้างว่า วันหนึ่งได้หลบไปหาความสงบวิเวกในถ้ำ บนภูเขาอิรอฮ์ เทวทูตญิบรออีล ก็ได้นำโองการของพระเจ้า (พระอัลลอฮ์) มาประทานแก่ท่าน นบีมุฮัมมัด จึงตั้งตัวเองเป็นศาสดา แล้วเริ่มประกาศศาสนาในปี พศ.1153


นบี มุฮัมมัด

ต่อมาในราวปี พศ.1200 เหล่าสาวกของศาสดา นบีมุฮัมมัด รุ่นหลัง ก็ใช้นโยบายในการเผยแผ่ศาสนาด้วยวิธีการรุนแรง กองทัพมุสลิมรุกทั่วเอเซียกลาง ยุโรป และในอินเดียตอนเหนือ แต่ในช่วงพุทศตวรรษนี้ มุสลิมยังรุกเข้าสู่อินเดียตอนกลางไม่ได้ เพราะกองทัพมุสลิมถูกกษัตริย์ที่ครองอินเดียตอนกลางตรึงไว้ได้นานเกือบ 500 ปี 

จนกระทั้งในพุทธศตวรรษที่ 17 กองทัพมุสลิม โดยนักรบชาวเตริ์กก็สามารถบุกเข้ามาทำลายอินเดียตอนกลางได้ ทำลายทุกศาสนา เผามหาวิทยาลัยสงฆ์นาลันทา ศาสนาพุทธจึงสูญหายไปจากอินเดียนับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

กองทัพชาวเตริ์กที่มี ศาสดานบีมุฮัมมัด เป็นศาสดา จะบุกทำลายล้างทุกศาสนา พระในศาสนาพุทธห่มจีวรบ่งบอกตัวตนโดดเด่น จึงถูกกองทัพมุสลิมฆ่าตายเป็นจำนวนมาก แต่ฆ่าพวกพราหมณ์-ฮินดูได้น้อยเพราะแต่งตัวกลมกลืนกับชาวบ้าน 

ทำให้พระในศาสนาพุทธทุกนิกาย ต้องเกือบสูญสิ้นไปจากอินเดีย พระต้องหนีไปอยู่ในธิเบต และเมืองอื่นๆ ที่ห่างไกลจากพวกมุสลิม

กองทัพมุสลิมเตริ์ก

แต่ในยุคนั้นก็ยังไม่ถือว่าศาสนาพุทธในอินเดียได้ถูกทำลายไปโดยสิ้นเชิง เพราะยังมีพุทธชาวลาดักห์ ที่อาศัยอยู่ในเมืองเลห์ ในรัฐแคชเมียร์ที่ตั้งอยู่ตอนเหนือสุดของประเทศอินเดีย ได้สืบสานศาสนาต่อ เพราะเมืองเลห์เป็นดินแดนกลางหุบเขาหิมาลัย มีเขตแดนติดต่อกับประเทศปากีสถาน และที่ราบสูงทิเบต ซึ่งเป็นดินแดนที่มีปราการธรรมชาติขัดขวางจึงไม่ถูกกองทัพมุสลิมชาวเติร์กบุกทำลาย

พุทธชาวลาดักห์ เป็นพุทธนิกายตันตระยานหรือมนตรยาน ซึ่งต่อมาได้พัฒนาเป็น นิกายวัชระยาน แต่พุทธชาวลาดักห์ ก็ไม่เพี้ยนสุดโต่ง เหมือนกับพุทธในนิกายตันตระยานในวัดรัตนศิรี รัฐโอริสสา ของอินเดีย เพราะพุทธชาวลาดักห์ได้รับอิทธิพลจากพุทธนิกายตันตระยานในธิเบต

พุทธศาสนานิกายเถรวาท รอดพ้นจากการถูกทำลายได้ เพราะพระเจ้าอโศกมหาราช

 ประวัติ : พระเจ้าอโศกมหาราช by CHERRYMAN

และถึงแม้ว่าในช่วงเวลานั้น ชาวพุทธนิกายมหายานและนิกายตันตระยาน ในประเทศอินเดียได้ถูกทำลายโดยกองทัพมุสลิมชาวเตริ๊กไปแล้วก็ตาม แต่เป็นที่น่ายินดีว่ายังมี พุทธดั้งเดิมนิกายเถรวาท ในดินแดนสุวรรณภูมิไม่ได้ถูกทำลายไปด้วย 

เพราะใน พุทธศตวรรษที่ 3 ที่ 4 ในช่วงปี พศ.236 พระเจ้าอโศกมหาราช ได้ส่งพระสมณทูตเดินทางจากแคว้นมคธ ไปเผยแพร่และประดิษฐานพระพุทธศาสนา ในดินแดนต่างๆ 9 สาย โดยพระโสณะเถระ และพระอุตตระเถระ ได้เดินทางมาเผยแพร่ในดินแดนอุษาคเนย์ หรือ สุวรรณภูมิ ทำให้ ประเทศพม่า ไทย ลาว กำพูชา และ ลังกาได้รับและสืบสานพุทธมรดกดั้งเดิมในนิกายเถรวาทมาอย่างเหนียวแน่น 

พระเจ้าอโศกอาราธนาพระโสนะและพระอุตตระเถระ ให้ไปเผยแพร่พุทธศาสนาในดินแดนสุวรรณภูมิ

แต่พุทธศาสนาในประเทศกำพูชา มีการปนเปื้อนของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู มากกว่าประเทศอื่นในดินแดนอุษาคเนย์ เพราะอาณาจักรขอมโบราณนับถือศาสนาพราหมณ์ฮินดู มาอย่างยาวนาน ต่อมาในสมัยพระเจ้าธรณินทรวรมันที่ 2 (ราวปีพ.ศ. 1693) จึงเริ่มมานับถือพุทธศาสนา นิกายมหายาน

และในปี พศ.2566 พบว่ากำพูชาทั้งประเทศไม่มีพระในวัดใด ที่มีการสอนพระให้ปฎิบัติในแนวทางวิปัสนากรรมฐานเลย มีแต่พระที่ปฎิบัติเพียงแค่สมถะภาวนาที่นำไปสู่การได้อภิญญาเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้พระในกำพูชาโดดเด่นในทางคาถาอาคม ไสยเวทมนต์ดำ เสกเป่าคาถา แสดงฤทธิ์อภิญญาในรูปแบบต่างๆมากมาย

            ................................................................................................

ประวัติความเป็นมา ของพระพุทธศาสนาในสยามประเทศไทย

พุทธเถรวาทจากลังกา เข้ามาเผยแพร่ในสุโขทัย

ในพุทธศตวรรษที่ 18 สมัยสุโขทัย พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ได้ทรงสดับกิตติศัพท์ของพระมหาเถระสังฆราชจากลังกา ที่มาเผยแพร่พุทธศาสนานิกายเถรวาทอยู่ที่นครศรีธรรมราช จึงอาราธนาพระมหาเถระสังฆราช ให้มากรุงสุโขทัย ช่วงระหว่างปีพ.ศ. 1822 ถึงประมาณ พ.ศ. 1842 ซึ่งไทยเรียกการรับพุทธศาสนานิกายเถรวาทที่เข้ามาเผยแพร่อีกครั้งว่านิกายลังกาวงศ์” 

ข้อสังเกตุ: พุทธนิกายเถรวาท ได้เข้าสู่ดินแดนสุวรรณภูมิ ซึ่งรวมถึงสยามประเทศไทย มาตั้งนานแล้วตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 3-4 ในยุคพระเจ้าอโศกมหาราช จึงสันนิษฐานว่าในช่วงระยะเวลานานกว่า1500 ปี หลักคำสอนของ พุทธศาสนานิกายเถรวาท คงถูกเจือปนและเจือจางลงไปมากแล้ว 

จึงเป็นเรื่องน่ายินดีที่พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ได้ให้ความสำคัญกับพุทธศาสนา อัญเชิญพระมหาเถระสังฆราชจากลังกา ที่มาเผยแพร่พุทธศาสนานิกายเถรวาทอยู่ที่นครศรีธรรมราช ให้มายังกรุงสุโขทัย เพื่อเป็นการสืบสานต่อพระพุทธศาสนา นิกายเถรวาท ให้นานสืบไปในดินแดนสุวรรณภูมิ 

 ความสัมพันธ์ระหว่าง พุทธลังกาวงศ์ กับ พุทธสยามวงศ์

ต่อมาในช่วงพุทธศตวรรษที่ 22-23 เมื่อทางลังกาเกิดปัญหายุ่งยากทางการเมือง เพราะต้องเผชิญกับการรุกรานจากลัทธิจักรวรรดินิยมตะวันตกหลายประเทศเป็นเวลานาน จนในที่สุดลังกาได้ตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ทำให้พุทธศาสนาเสื่อมโทรมลง  ทำให้ในช่วงพุทธศตวรรษนี้เอง ลังกาต้องหมดสิ้นสมณวงศ์ ไม่มีพระสงฆ์เหลืออยู่เลย โดยเหลือสามเณรอยู่เพียงรูปเดียว

ในลังกา เหลือสามเณรเพียงรูปเดียว

ดังนั้น ในปีพ.ศ. 2293 พระเจ้ากีรติศรีราชสิงหะ พระเจ้ากรุงลังกามีพระราชศรัทธาแรงกล้าที่จะฟื้นฟูพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท ให้กลับคืนสู่ลังกาอีกครั้ง จึงส่งราชทูตมายังพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย มาขอพระสงฆ์ของกรุงศรีอยุธยาไปฟื้นฟูพุทธศาสนาในลังกา   

พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ได้ส่งคณะธรรมทูตไป จำนวน 25 รูป ประกอบด้วยพระสงฆ์ 18 รูป สามเณร 7 รูป โดยมี พระอุบาลี และ พระอริยมุนี เป็นหัวหน้า คณะสงฆ์ไทยได้บรรพชาอุปสมบทให้แก่ชาวลังกาเป็นพระภิกษุ 700 รูป เป็นสามเณร 3,000 รูป ซึ่งต่อมา ทำให้ลังกาเรียกการกลับเข้ามาของพุทธศาสนานิกายเถรวาท สยามประเทศว่า “พุทธสยามวงศ์  

ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ความสัมพันธ์ของพุทธนิกายเถรวาทในสยามประเทศและศรีลังกา มีความสัมพันธ์อันแนบแน่น เป็นสหายธรรมที่มีการแลกเปลี่ยนเยี่ยมเยียนกันเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบัน และนับตั้งแต่นั้นมา พุทธเถรวาทในประเทศไทย จึงมีชื่อเรียกว่า "พุทธนิกายสยามวงศ์"

หมายเหตุ: คำว่าสยาม เป็นชื่อที่คนต่างชาติเรียกดินแดนและกลุ่มชนที่อาศัยแถบนี้มา แต่ครั้งโบราณ ตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 15 หรือ ราวพุทธศตวรรษที่21 เมื่อชาวยุโรปเดินเรืออ้อมแหลมแอฟริกามายังอินเดีย แล้วเรียกชื่อตามที่ชาวอินเดียใต้ โดยเรียกและเขียนชื่อประเทศว่า SIAM แต่สยามมีชื่ออย่างเป็นทางการในสมัยรัชกาลที่ 4 ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็นชื่อเป็นไทย ในวันที่ 24 มิถุนายน พศ.2482

พระอุบาลี ผู้ก่อตั้งพุทธสยามวงศ์ในเกาะลังกา 

ความขัดแย้งภายในวัง นำมาสู่ การทำลาย พุทธสยามวงศ์

ก่อนปีพุทธศักราช 2379 พุทธเถรวาทของคณะสงฆ์สยามวงศ์ ในสยามประเทศ มีความเป็นปึกแผ่นมั่นคง ยังไม่มีการแตกแยก แต่เมื่อเกิดการขัดแย้งชิงอำนาจกันเองภายในสถาบันกษัตริย์ พุทธศาสนาจึงถูกดึงไปเป็นเครื่องมือทางการเมือง จนเกิด สังฆเภท (คือการแตกแยกของคณะสงฆ์) ซึ่งเกิดจากการที่ พระภิกษุเจ้าฟ้ามหามงกุฎ หรือต่อมาเป็นกษัตริย์รัชกาลที่ 4 ตั้ง ธรรมยุติกนิกาย ขึ้นมา เพื่อต้องการใช้พุทธศาสนาให้เป็นฐานอำนาจสร้างบารมีให้ตัวเองฯลฯ ซึ่งมีลำดับความเป็นมาโดยย่อดังนี้.-

กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ชิงบัลลังก์ เจ้าฟ้ามหามงกุฎ

ในช่วงที่กษัตริย์รัชกาลที่ 2 กำลังป่วยหนัก เจ้าฟ้ามหามงกุฏ พระราชโอรส ซึ่งเกิดจากสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี มีสิทธิ์ที่จะได้ขึ้นครองราชย์ต่อจากรัชกาลที่ 2 แต่ขณะนั้น เจ้าฟ้ามหามงกุฎกำลังอยู่ในช่วงที่บวชเป็นพระภิกษุ

และในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ โอรสรัชกาลที่ 2 เช่นกัน แต่เกิดเจ้าจอมมารดาเรียม ซึ่งมีอำนาจและอิทธิพลเหนือเหล่าเสนาบดีในราชสำนักอยู่ก่อนแล้ว และยังเป็นผู้คุมกองกำลังทหารรักษาวังหลวง 
 
กรมหมื่อนเจษฎาบดินทร์ จึงฉวยโอกาสชิงบัลลังก์จากเจ้าฟ้ามหามงกุฎ เพราะเกรงว่า ถึงแม้พระราชบิดาในหลวงรัชกาลที่ 2 กำลังป่วยหนักอยู่ก็จริง แต่ยังพอมีสติที่จะเรียกให้พระภิกษุเจ้าฟ้ามหามงกุฎสึกจากพระมาขึ้นครองราชย์
 
2 แม่-ลูก ร่วมมือ วางยาพิษฆ่ากษัตริย์รัชกาลที่ 2

ดังนั้น กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์  จึงร่วมมือกับมารดาตนเอง เจ้าจอมมารดาเรียม วางยาพิษฆ่ากษัตริย์รัชกาลที่ 2 ได้สำเร็จ ตัดหน้าเจ้าฟ้ามหามงกุฏ สถาปนาตนเองขึ้นเป็นพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว กษัตริย์รัชกาลที่ 3  

เมื่อกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์  ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์แล้ว จึงอนุญาตให้พระภิกษุเจ้าฟ้ามหามงกุฎเข้าวังมาถวายบังคมพระบรมศพรัชกาลที่ 2 เมื่อเสด็จมาถึงพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎก็ได้พบหน้ารัชกาลที่ 3 แต่พอมองเห็นโกศพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ 2 พระภิกษุเจ้าฟ้ามหามงกุฎ ก็ร้องไห้คร่ำครวญ 

และในช่วงจังหวะนั้นเอง หม่อมไกรสร หรือ กรมหลวงรักษ์รณเรศ ซึ่งมีฐานะเป็นพระปิตุลา หรือ อา ของกรมหมื่อนเจษฎาบดินทร์ หรือ รัชกาลที่ 3 ที่ได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้กำกับกรมวังอยู่ในขณะนั้น ได้เข้าไปกอดตรวจค้นตัวพระภิกษุเจ้าฟ้ามหามงกุฎ เพื่อคลําดูที่จีวรว่า ซ่อนพระแสงอาวุธเข้ามาหรือไม่ ทำให้พระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎเข้าใจผิดคิดว่าจะมาจับตัวไปฆ่า จึงกลัวจนปัสสาวะราดจีวร แล้วโอดครวญร้องขอชีวิตว่าอย่าฆ่าเลย 

พระนั่งเกล้าฯรัชกาลที่ 3 จึงรับสั่งว่าท่านอย่ากลัว ไม่มีใครทําอะไรหรอก อย่าตกพระทัย พี่น้องกันทั้งนั้น หลังจากเหตุการณ์นั้น ทำให้พระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎไม่กล้าสึกจากพระ จึงบวชต่อเนื่องยาวนานถึง 27 ปี 

พระภิกษุเจ้าฟ้ามหามงกุฎ ก่อตั้ง"ธรรมยุติกนิกาย”ทำลาย"พุทธสยามวงศ์"

เจ้าฟ้ามหางกุฎ

และแน่นอนว่า"พระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎ" มีความต้องการที่จะชิงบัลลังก์คืน ดังนั้นจึงรอเวลาในช่วงที่กำลังบวชเป็นพระภิกษุ ฉวยโอกาสวางแผนสร้างภาพให้ตัวเองมีความศักดิ์สิทธิ์ เพื่อรอเวลากลับคืนบัลลังก์ ด้วยวิธีคิดที่ว่า ในเมื่อประชาชนส่วนใหญ่นับถืออะไร ก็ต้องดึงเอาสิ่งนั้นมาเป็นของตัวเอง เพื่อที่คนส่วนใหญ่จะได้นับถือและศรัทธาตนเองไปด้วย และนี่คือวิธีคิดของกษัตริย์ราชวงศ์จักรีทุกคน(อาจไม่รวมในหลวงรัชกาลที่ 8 ที่ถูกพระอนุชาภูมิพลลอบปลงพระชนม์เสียก่อน)

ดังนั้นในปีพุทธศักราช 2379 ขณะที่”พระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎ”มาอยู่ที่วัดบวรนิเวศน์วิหาร จึงได้อ้างกับคนทั่วไปว่า พระสงฆ์ส่วนใหญ่ปฎิบัติย่อหย่อนในพระธรรมวินัย จึงมีดำริที่จะตั้งคณะสงฆ์ใหม่ขึ้นมา โดยจะใช้ชื่อว่า ธรรมยุติกนิกาย เพื่อให้บุคคลทั่วไปเห็นว่า ธรรมยุติกนิกาย เป็นสงฆ์นิกายใหม่ที่เคร่งคลัด และดูดีกว่า คณะสงฆ์สยามวงศ์

เมื่อความทราบไปถึง ท่าน พระอุดมปิฏก (สอน ศิริกุล) เปรียนธรรม 9 ประโยค ซึ่งเป็นสหายธรรมของพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎ 

ท่านจึงได้เดินทางมาพบแล้วกล่าวคัดค้านต่อหน้าพระเจ้าฟ้ามหามงกุฎว่าพระสงฆ์ในสยามประเทศปัจจุบันก็มีคณะสงฆ์อยู่แล้ว ทั้งมีสถานภาพเป็นคณะสงฆ์ สยามวงศ์ อยู่แล้วด้วย ไม่สมควรที่จะก่อตั้งนิกายใหม่ขึ้นมา เมื่อเห็นว่ายังมีอะไรบกพร่องหรือผิดพลาดอยู่ ก็ควรจะช่วยกันคิดแก้ไข ปรับปรุงสิ่งที่บกพร่องให้สมบูรณ์ขึ้นมา ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องให้ถูกต้องเสีย ความบกพร่องเสียหายก็จะหมดไปเอง ไม่สมควรที่จะก่อตั้งนิกายใหม่ขึ้นมา อันจะกลายเป็นการสร้างความแตกแยกให้แก่ “คณะสงฆ์สยามวงศ์” ซึ่งเท่ากับเป็นการก่อให้เกิด “สังฆเภท” ขึ้นในหมู่สงฆ์ อันเป็นการทำบาปถึงขั้น “อนันตริยกรรม” ต้องโทษตกนรกหมกไหม้ อย่างไม่มีวันผุดวันเกิด

 อเวจีมหานรก นรกของผู้ทำอนันตริยกรรม

 แต่คำเตือนด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ประกอบกับความปราถนาดีของท่านเจ้าคุณอุดมปิฎกนี้ ยังผลให้พระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎแสดงอาการพิโรธและขุ่นเคือง ทำให้เจ้าคุณอุดมปิฏกตกใจ จึงกล่าวขออภัยโทษ จากนั้นพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎ ก็ไม่ฟังคำทัดทานจากใครอีกแล้ว ก่อตั้ง”ธรรมยุติกนิกาย”ขึ้นมาจนสำเร็จ

ธรรมยุติกนิกาย มีสถานะเป็นสงฆ์นิกายเถื่อน   

ซึ่งการตั้ง ธรรมยุติกนิกาย ขึ้นมา โดยที่ คณะสงฆ์สยามวงศ์ ไม่สามารถคัดค้านได้ และสงฆ์ส่วนใหญ่เห็นว่ามันเป็นการทำ“สังฆเภท” ของเจ้าฟ้ามหามงกุฎ เพราะเป็นการทำให้สงฆ์แตกแยก 

ดังนั้นคณะสงฆ์สยามวงศ์ จึงได้ประชุมร่วมกัน และมี ”สังฆมติ” ให้เรียกพระสงฆ์ส่วนใหญ่ที่ไม่ใช่พวกธรรมยุติกนิกายว่า “มหานิกาย” ส่งผลให้ธรรมยุติกนิกายใหม่ที่ถูกเกิดขึ้น กลายเป็นเป็น คณะสงฆ์นิกายเถื่อน ไปโดยปริยาย เพราะ ไม่มีสังฆามติรองรับ เพราะแต่งตั้งโดยพระสงฆ์เพียงองค์เดียว

((หมายเหตุ!ในทางสงฆ์ที่ถือปฎิบัติมานับพันปี ตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ถ้าเกิดอธิกรณ์ข้อขัดแย้งขึ้นในหมู่คณะสงฆ์ และถึงแม้ว่าพระองค์จะทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นเจ้าของพระธรรม เพราะเป็นผู้ตรัสรู้ก็ตาม แต่พระองค์ก็จะไม่ใช้อำนาจของพระองค์เพียงพระองค์เดียวเป็นผู้ตัดสินอธิกร พระองค์จะประชุมสงฆ์ โดยใช้ สังฆมติ ตัดสิน ทุกครั้ง 

ดังนั้นการที่พระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎเพียงคนเดียว และไม่ได้เป็นเจ้าของธรรม แต่กลับกล้าบังอาจตั้งธรรมยุติกนิกายขึ้นมาโดยที่ ไม่มี สังฆมติ รองรับ จึงถือว่าทำผิดพระธรรมวินัยอย่างร้ายแรง และที่สำคัญมันเป็น สังฆเภท ที่ทำให้สงฆ์แตกแยก เป็นอนันตริยกรรม ที่เป็นกรรมหนักที่สุด))

ต่อมาเมื่อพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎลึกจากพระออกมาครองราชย์ขึ้นเป็นกษัตริย์รัชกาลที่ 4 ในปีพ.ศ. 2394 ท่านเจ้าคุณอุดมปิฎกก็รู้สำนึกดีว่าเคยแสดงความขัดแย้งในเรื่องการตั้งนิกายธรรมยุติกนิกาย ท่านจึงกริ่งเกรงว่าราชภัยอาจบังเกิดกับตัวท่าน จึงได้หลบหนีไปจำพรรษาอยู่ที่วัดสนทรา ใกล้กับทะเลน้อย ในตำบลปันแต อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง  

เจ้าประคุณ สมเด็จโต พรหมรังสี ไม่ยอมเป็นเครื่องมือรัชกาลที่ 4 ในการทำสังคายนา เพื่อแก้ไขเปลี่ยนแปลง พระไตรปิฏก

เจ้าประคุณสมเด็จโตพรหมรังสี

หลังจากตั้ง ธรรมยุติกนิกายเถื่อน จนสำเร็จแล้ว รัชกาลที่ 4 ยังคิดที่จะสังคายนาพระไตรปิฏกใหม่อีกด้วย จึงให้คนไปเชิญ ท่านเจ้าคุณ สมเด็จโต พรหมรังสี มาเข้าร่วมสัมมนาในการปรับปรุงพระไตรปิฎก เชิญไป ถึง 3 ครั้ง แต่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จ (โต)พรหมรังสี ก็ไม่ยอมมา

รัชกาลที่ 4 จึงเรียกท่านเจ้าประคุณสมเด็จ (โต) ให้เข้าไปพบในวังอีกครั้ง แล้วถามว่า "เพราะเหตุใดขรัวโตจึงไม่ยอมเข้าร่วมสัมมนาในการปรับปรุงพระไตรปิฎก" ท่านเจ้าประคุณจึงกราบทูลว่า"ขอถวายพระพรมหาบพิตร ขรัวโตนี้เกิดในยุครัตนโกสินทร์ ขรัวโตนี้ยังไม่ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ถ้าในพระไตรปิฎกนั้น บางคำพูดเป็นขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าที่แท้จริง สันดานขรัวโต เกิดว่าไอ้นี่มันไม่ไพเราะ ไม่เพราะพริ้ง ตัดมันออกไป เติมคำหวาน ๆ สละสลวยลงไป ฟังแล้วน้ำลายไหล อาตมภาพหรือจะหนีพ้นการลงนรก การที่อาตมภาพไม่มาก็เพราะกลัวตกนรกพระเจ้าค่ะ"

จากการที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จ (โต)พรหมรังสี ไม่ยอมร่วมมือด้วย ทำให้รัชกาลที่ 4 จำต้องยกเลิกไม่กล้าดำเนินการสังคายนาพระไตรปิฏกอีกต่อไป

กำเนิดพระสยามเทวาธิราช  

เมื่อรัชกาลที่ 4 สังคายนาพระไตรปิฏกไม่สำเร็จ จึงคิดแผนการณ์ใหม่ในการสร้าง พระสยามเทวาธิราช ที่ไม่มีตัวตนขึ้นมาอีก จนต่อมาก็มีการพร่ำพรรณาอ้างว่าพระสยามเทวาธิราชเป็นเทวดาที่ครองสวรรค์เป็นใหญ่ในชั้นที่ 3 คือสวรรค์ชั้นยามา เป็นเทวราชผู้ยิ่งใหญ่ที่คอย ปกปักรักษาผืนแผ่นดินไทย มานานแสนนาน ฯลฯ 

แต่กลับไม่มีใครพิสูจน์ได้ และไม่ปรากฏประวัติการสร้างที่แน่ชัด พระราชพงศาวดารรัชกาลที่ 4 ก็ไม่ได้จดไว้ มีแต่การสันนิษฐานว่าน่าจะทำขึ้นในปี พศ.2396 หรือราวสองปีหลังร. 4 ขึ้นครองราชย์

สยามเทวาธิราชหน้าเหมือนคนสั่งให้สร้าง

แต่สิ่งที่เห็นได้แน่ชัด ก็คือพระสยามเทวาธิราชเป็นเพียงเทวาดา ที่มนุษย์ ร. 4 สร้างขึ้นจากจิตนาการเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อให้คนเชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์

วิธีคิดของรัชกาลที่ 4  ก็อธิบายได้ว่า เมื่อสร้างพระสยามเทวาธิราช ให้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นพระคู่บ้านคู่เมือง จนสามารถหลอกลวงประชาชนได้แล้ว มันก็จะทำให้ ตัวรัชกาลที่ 4 ที่เป็นผู้สร้างก็จะมีความศักดิ์สิทธิ์ตามพระสยามเทวาธิราชไปด้วย

ซึ่งวิธีคิดนี้ของรัชกาลที่ 4 ก็นับว่าได้ผล เพราะสามารถทำให้คนไทยจำนวนไม่น้อยต้องโง่จนดักดานต่อเนื่องกันมายาวนานได้เกือบ 200 ปีจนถึงปัจจุบัน และในอนาคตก็เชื่อว่ายังจะมีความโง่ดักดานหลงเหลืออยู่ในหมู่คนที่นิยมเจ้า

พระสยามเทวาธิราชหายหัวไปไหน ในตอนที่สยามประเทศเสียดินแดนให้กับอังกฤษและฝรั่งเศษ 

เมื่อมีการเชื่อว่าพระสยามเทวาธิราช มีความศักดิ์สิทธิ์ และเป็นผู้ปกปักรักษาผืนแผ่นดินไทยจริง แล้วพระสยามเทวาธิราชหายหัวไปไหน ในตอนที่ประเทศไทยต้องเสียดินแดนให้กับอังกฤษ ฝรั่งเศษ จีน และเขมร ตั้งหลายครั้ง

โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ 4 ที่เป็นผู้สร้างพระสยามเทวาธิราชขึ้นมาเอง ไทยต้องเสียดินแดนสิบสองปันนาให้กับจีน - เสียเขมรและเกาะอีก 6 เกาะให้กับฝรั่งเศษ - ในสมัยรัชกาลที่ 5 ไทยก็ต้องเสียสิบสองจุไทให้กับฝรั่งเศษ - เสียฝั่งซ้ายแม่น้ำสาละวินให้กับอังกฤษ - เสียประเทศลาวทั้งประเทศให้กับฝรั่งเศษ - เสียฝั่งขวาแม่น้ำโขงให้กับฝรั่งเศษ - เสียพระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณให้กับฝรั่งเศษ - เสียรัฐกลันตัน ตรังกานู ไทรบุรี ปริส ให้กับอังกฤษ จนครั้งสุดท้ายในสมัยรัชกาลที่ 9 ไทยก็ต้องเสียเขาพระวิหารให้กับเขมร นี่หรือคือความศักดิ์สิทธ์ของพระสยามเทวาธิราชคอยปกปักรักษาผืนแผ่นดินไทยมานานแสนนาน

การที่เชื่อว่าพระสยามเทวาธิราชมีความศักดิ์สิทธิ์ มันเป็นความโง่ที่เกินเยียวยา ที่โง่งมงายมากที่สุดก็พบเห็นได้ในสมัยกษัตริย์รัชกาลที่ 9 เพราะมักจะมีบรรดาข้าราชการ ทหาร นักการเมือง และพวกนิยมเจ้า มักออกมาพูดทั้งในสื่อสิ่งพิมพ์ และสื่อ TV บ่อยครั้งว่า ประเทศไทยโชคดีที่มีพระสยามเทวาธิราชคุ้มครอง

ต่อมาเมื่อรัชกาลที่ 4 สวรรคต รัชกาลที่ 5 ก็สานต่อแนวคิดของรัชกาลที่ 4 ดังนั้นในปี พศ. 2431 เมื่อรัชกาลที่ 5 ครองราชย์ครบ 25 ปี จึงฉวยโอกาสนี้ ทำสังคายนาพระไตรปิฏกจนสำเร็จ แต่เป็นการทำสังคายนาพระไตรปิฏกฉบับภาษาไทยที่ห่วยที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย เพราะชุดหนึ่งมีเพียง 39 เล่มเท่านั้น และยังพบอีกว่ามีบางคัมภีร์ที่ยังไม่ได้พิมพ์ และบางคัมภีร์พิมพ์แล้วแต่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์  

รัชกาลที่ 5 ทำให้ธรรมยุติที่เป็นสงฆ์นิกายเถือนมา 66 ปี เป็นคณะสงฆ์ที่ถูกกฎหมาย   

และในปีพุทธศักราช 2445 รัชกาลที่ 5 ก็สานต่อเกมส์แห่งอำนาจ เพื่อเพิ่มความศักดิ์สิทธิให้กับตัวเอง ด้วยการตามรอยรัชกาลที่ 4 จึงออกพระราชโองการประกาศใช้ พระราชบัญญัติรัตนโกสินทรศก ยกฐานะคณะสงฆ์ ธรรมยุติกนิกายให้เป็นนิกายที่ถูกต้องตามกฎหมาย หลังจากที่ธรรมยุติกนิกายเป็นคณะสงฆ์นิกายเถื่อนมานานถึง 66 ปี

และถึงแม้ว่ารัชกาลที่ 5 จะออกกฎหมายรองรับให้ธรรมยุติกนิกาย ถูกต้องตามกฎหมายแล้วก็ตาม แต่รัชกาลที่ 5 ก็ไม่ได้สนับสนุนให้คณะสงฆ์ส่วนใหญ่ประชุมกันเพื่อให้มี สังฆมติ รองรับคณะสงฆ์นิกายเถื่อนนี้

** ในเมื่อยังไม่มี สังฆมติ รองรับ มาตั้งแต่แรก จึงต้องถือว่า ธรรมยุติกนิกาย ยังมีสถานะเป็นสงฆ์นิกายเถื่อนมาจนถึงปัจจุบัน**

 

หลวงพ่อสดเปิดเผย ท่านไม่ได้พ้นทุกข์ด้วยวิชาธรรมกาย

หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ

ต่อมาในช่วงพุทธศตวรรษที่ 25 พุทธเถรวาทในประเทศพม่าดูจะมีความเป็นพุทธดั้งเดิมได้มากกว่าประเทศอื่นๆในภูมิภาคภูมิภาคอุษาคเนย์ด้วยกัน เพราะช่วงก่อนปี พศ. 2496 วัดในประเทศไทยมีการสอนแนวทางวิปัสนากรรมฐานน้อยมาก จะมีพระเพียงไม่กี่วัดเท่านั้นที่ฝึกวิปัสนากรรมฐาน เพราะพระหลายวัดส่วนใหญ่จะเน้นฝึกเพียงแค่สมถะภาวนา เพื่อให้ได้อภิญญามีอิทธิปาฎิหาริย์ ในการใช้วิชาคาถาอาคม ปลุกเสกวัตถุมงคล ลงของขลังสักยันต์ต่างๆ เป็นต้น โดยไม่มีการปฎิบัติเพื่อพิจารณายกระดับจิต จนนำไปสู่การพ้นทุกข์ในแนวทางวิปัสนากรรมฐานเลย

สมถะภาวนา หรือ สมถะกรรมฐาน จะเพ่งกสิณ10 ข้อใดข้อหนึ่ง อย่างเช่นหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง ท่านสำเร็จวิชามโนมยิทธิ (มีฤทธิ์ทางใจ) และหลวงพ่อชื่อดังต่างๆที่มีชื่อเสียงอีกหลายท่าน  ส่วนหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ท่านสำเร็จ(วิชาธรรมกาย) เพียงแต่ต่อมาภายหลัง ก่อนหลวงพ่อสดจะละสังขารได้ไม่นาน ท่านได้มาต่อยอดจากสมถะกรรมฐานเดิมที่ท่านมี หันมาฝึกวิปัสนากรรมฐานเพิ่มเติม ที่วัดมหาธาตุ จนท่านสามารถพ้นทุกข์ได้ 

และจากความสำเร็จของหลวงพ่อสดนี้ มาจากการเปิดเผยของหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี(ท่านเคยเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ของหลวงพ่อสด) ว่าท่านได้พบหลวงพ่อสดที่วัดมหาธาตุ ในวันเทศน์ลำดับญาณ โดยหลวงพ่อสดกล่าวกับท่านว่า เราเป็นขี้ข้าเขามาหลายสิบปี มีแต่นิมิตเครื่องหมายมากมาย และติดนิมิต พอกำหนดเห็นหนอ นิมิตธรรมกายหายไป ปัญญาเกิด สามารถเข้าผลสมาบัติได้ถึง 84 ชั่วโมง หลังจากนั้นก็เข้านิโรธสมาบัติได้ด้วย” ท่านกล่าวกับหลวงพ่อจรัญต่อไปว่า “ถ้าเราอยู่เราจะสอนอย่างนี้ต่อไป แต่ถ้าเราหมดอายุ เราก็ขอแค่ตัวเราพ้นทุกข์ 

ถ้าใครศึกษาพระอภิธรรมพระไตรปิฎก และปฎิบัติตาม จะเห็นว่าพระพุทธองค์ทรงสอนให้ฝึกทั้งสมถะและวิปัสสนาพร้อมกัน เพราะมันเนื่องกันอยู่ มันเป็นเหตุและผลของกันและกัน

จากการเปิดเผยของ หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน

  วัดมหาธาตุฯ สอนวิปัสนากรรมฐานที่ฝึกมาจากประเทศพม่า

สำหรับการฝึกปฎิบัติวิปัสนากรรมฐาน ยุบหนอ พองหนอ ที่เริ่มแรกมีการสอนและฝึกปฎิบัติที่ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์นั้น มีที่มาจากประเทศพม่าดังนี้.-

เมื่อสมัยสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถระ) ขณะยังครองสมณศักดิ์เป็นพระพิมลธรรม อธิบดีสงฆ์วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์ กรุงเทพมหานคร พบว่า การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่ประเทศพม่านั้นมีความเจริญรุ่งเรือง 

อาจ อาสภมหาเถระ

ดังนั้น ในปี พศ.2495  ท่านจึงส่ง “ศิษย์เอก” ท่านหนึ่งของท่าน คือ“พระมหาโชดก ญาณสิทฺธิ”  เปรียญธรรม ๙ ประโยค ให้ไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่ “สำนักวิปัสสนาสาสนยิตสา”เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า ท่านเจ้าคุณโชดกต่อยอดฝึกวิปัสนากรรมฐานอยู่เกือบ1 ปี ท่านกลับจากพม่า ในปี พ.ศ.2496 เมื่อกลับมาวัดมหาธาตุฯ ท่านก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระเป็นรูปแรก


ท่านเจ้าคุณ โชดก

หลังจากนั้นวัดมหาธาตุฯได้เผยแพร่แนวทางการปฎิบัติวิปัสนากรรมฐาน ให้ทั้งพระและประชาชน รวมทั้งหลายวัดทั่วประเทศไทย ให้เข้าสู่แนวทางการปฎิบัติวิปัสนากรรมฐาน โดยใช้องค์บริกรรม พองหนอ ยุบหนอ มาจนกระทั่งบัดนี้

และถึงแม้ว่าในปัจจุบัน ในขณะที่เขียนบทความนี้ใน ปี พศ.2566 พุทธศาสนาดั่งเดิมในนิกายเถรวาท ยังเป็นศาสนาหลักในดินแดนอุษาคเนย์ รวมทั้งในอินเดียบางส่วนอยู่บ้างก็ตาม แต่หลักความเชื่อที่ถูกปนเปื้อนของพุทธ นิกายมหายาน นิกายตันตระยาน และนิกายวชิรยาน ก็ยังเผยแพร่การปนเปื้อนอยู่ทั้งในประเทศไทยเอง ประเทศจีน ทิเบต เนปาล ในเอเซียกลาง และใน สุวรรณภูมิ หรือ เอเซียตะวันออกเฉียงใต้

วังยืมมือ จอมพลสฤษดิ์ ธนรัชต์ ยัดข้อหาคอมมิวนิสต์ ให้กับพระฝ่ายเถรวาท  

เมื่อมองย้อนกลับไปในปี พศ. 2505 กษัตริย์ภูมิพลกำลังกลัวลัทธิคอมมิวนิสต์ ก็เลยฉวยโอกาสนี้ สร้างความเข้มแข็งให้กับพระฝ่ายธรรมยุติกนิกาย ที่สถาบันกษัตริย์เป็นฝ่ายสนับสนุนบงการ

จากนั้น ก็หาทางกำจัดทำลายพระฝ่ายมหานิกาย โดยการยืมมือจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ให้ยัดข้อหา พระพิมลธรรม (อาจ อาสภมหาเถร) เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ โดยให้ใส่ความกล่าวหาว่า ท่านพระพิมลธรรม“มีการกระทำผิดต่อความมั่นคงของรัฐ โดยกระทำการอันเป็นคอมมิวนิสต์ และกระทำผิดต่อความมั่นคงของรัฐบาลภายในราชอาณาจักร” 

ทั้งๆที่พระพิมลธรรมไม่ได้ทำผิดตามข้อกล่าวหาเลย ท่านเพียงแต่สนับสนุนส่งเสริมให้พระและประชาชนปฎิบัติวิปัสนากรรมฐาน ตามแนวทางที่ไปเรียนรู้เพิ่มเติมมาจากประเทศพม่าเท่านั้น (ในขณะนั้นลัทธิคอมมิวนิสต์กำลังมีอิทธิพลในประเทศพม่า) และจากการที่ลัทธคอมมิวนิสต์กำลังมีอิทธิพลอยู่ในประเทศพม่านี้เอง จึงทำให้กษัตริย์ภูมิพลฉวยโอกาสทำลายความเชื่อถือพระฝ่ายมหานิกายที่ตนไม่ได้สนับสนุน

ทำให้พระพิมลธรรมต้องติดคุกอยู่นาน 5 ปี ถึงแม้ว่าต่อมาภายหลังจะมีคำพิพากษาออกมาว่าท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่มันก็สายเกินไปและไม่มีประโยชน์อะไร เพราะรัชกาลที่ 9 ได้ประโยชน์ทางการเมืองไปก่อนหน้านั้นแล้ว 

สรุปได้ว่า พระฝ่ายมหานิกาย ทั้งถูกกีดกัน ทั้งถูกสร้างสถานการณ์ใส่ร้าย และถูกทำลายให้ด้อยค่า อีกหลายครั้งหลายเหตุการณ์ ตลอดช่วงรัชสมัยกษัตริย์ภูมิพล จนต่อเนื่องถึงรัชกาลที่ 10

และในสมัยรัชกาลที่ 9 นอกเหนือจะทำลายที่ตัวบุคคลแล้ว ยังมีการทำลายประเพณีปฎิบัติอันดีงามของคณะสงฆ์ไทยที่มีมาแต่ครั้งโบราณอีกด้วย ตัวอย่างเช่น.-

คำอาราธนาธรรม ถูกแทนที่ด้วย คำกล่าวถวายพระพรแก่กษัตริย์

ก่อนอื่นก็ต้องย้อนกลับมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า ในสังคมประเพณีซึ่งเป็นธรรมเนียมปฎิบัติอันดีงามของพระสงฆ์ไทยมาแต่ครั้งโบราณ เมื่อญาติโยมนิมนต์ให้พระภิกษุแสดงธรรม พระก็จะกล่าวคำอาราธนา(อาราธนาธรรม) โดยยึดถือในครั้งพุทธกาลเป็นแบบอย่างว่า

เมื่อครั้งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสรู้ใหม่ๆทรงพิจารณาเห็นว่า เป็นการยากที่สัตว์ทั้งหลายผู้ยังติดข้องในกามคุณจะรู้ตามความเป็นจริงได้ พระองค์จึงไม่ทรงน้อมพระทัยที่จะทรงแสดงธรรม ท้าวสหัมบดีพรหม ทราบถึงพระปริวิตกของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว เกิดความคิดขึ้นว่า สัตว์โลกจะเสื่อม ถ้าหากพระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่ทรงแสดงธรรม จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า กราบทูลอาราธนาให้พระองค์ทรงแสดงธรรมโปรดสัตว์โลก เนื่องจากว่าผู้ที่มีกิเลสน้อย จะรู้ทั่วถึงธรรมที่พระองค์ทรงแสดงได้

พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงรับทราบถึงการอาราธนาของท้าวสหัมบดีพรหม จึงทรงตรวจดูสัตว์โลกด้วยพุทธจักษุ ทรงเห็นสัตว์โลกประเภทต่างๆ มีบุคคลผู้มีกิเลสน้อย เป็นต้น ซึ่งบุคคลผู้สามารถรู้ทั่วถึงธรรมจักมีอยู่ จึงตรัสตอบกับท้าวสหัมบดีพรหมว่า พระองค์จะทรงแสดงธรรมโปรดสัตว์โลก แล้วผู้ประสงค์จะฟังธรรม จงหลั่งศรัทธามาเพื่อฟังธรรมเถิด.

ด้วยเหตุนี้ คณะสงฆ์ไทยตั้งแต่ครั้งโบราณกาล จึงมีธรรเนียบปฎิบัติว่า เวลาญาติโยมนิมนต์ให้พระภิกษุแสดงธรรม พระก็จะกล่าวคำอาราธนาธรรม เหมือนกับที่ท้าวสหัมบดีพรหมทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าให้ทรงแสดงธรรม โดยมีคำอาราธนาดังนี้.- พ๎รัห๎มา จะ โลกาธิปะตี สะหัมปะติ กัตอัญชะลี อันธิวะรัง อะยาจะถะ สันตีธะ สัตตาป ปะระชักขะชาติกา เทเสตุ ธัมมัง อะนุกัมปิมัง ปะชัง เมื่อพระสงฆ์กล่าวคำอาราธนาธรรมจบแล้ว ท่านก็จะแสดงธรรมในหัวข้ออื่นๆต่อไป นี่คือสิ่งที่ชาวพุทธถือธรรมเนียมปฎิบัติมาตลอดหลายร้อยปี

แต่.. มหาเถระสมาคมมีมติให้เปลี่ยนคำอาราธนาธรรม

เชื่อว่าวังใช้อำนาจบังคับมหาเถระสมาคม ให้มีมติเปลี่ยนคำอาราธนาพระธรรม เพราะในการประชุมมหาเถระสมาคม ครั้งที่ 4 /2557 ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2557 มีคำสั่งมหาเถระสมาคว่า เมื่อพระรูปใดรับกิจนิมนต์จากวัง โดยกษัตริย์ภูมิพล วชิราลงกรณ์ และสมเด็จพระเทพฯ รวมทั้งสมาชิกราชวงศ์จักรี เสด็จเป็นประธานในพิธี ให้เปลี่ยนคำอาราธนาธรรม เป็นการกล่าวถวายพระพรแทน

หลังจากนั้น เมื่อคนในสถาบันกษัตริย์เสด็จในพระราชพิธีใดๆ ที่นิมนต์พระมาร่วมในพิธี ก็จะได้ยิน ได้เห็นพระกล่าวคำอาราธนาถวายพระพร แทนคำอาราธนาธรรม ดังนี้.-

ถ้าอาตมภาพรับพระราชทานถวายวิสัชนาไป มิได้ต้องตามโวหาระ อัตถาธิบาย ในพระธรรมเทศนา ณ บทใดหมดหนึ่งก็ดี

ขอเดชะ พระเมตตาคุณ พระกรุณาคุณ พระขันติคุณ ทรงพระกรุณาโปรด พระราชทานอภัยแก่อาตมา ผู้มีสติปัญญาน้อย ขอถวายพระพร 

ซึ่งการกระทำเยี่ยงนี้ของสถาบันกษัตริย์ มันเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจและเป็นที่สลดใจของชาวพุทธเป็นอย่างยิ่ง เพราะนอกจากสถาบันกษัตริย์ไทยจะทำลายประเพณีปฎิบัติอันดีงาม ของสถาบันสงฆ์ที่มีมาอย่างยาวนาน นับร้อย นับพันปีมาแล้ว 

ยังมีสิ่งที่น่ารังเกียจตามมาอีกคือ การให้สมณะสงฆ์ที่ถือศีล 227 ข้อ ต้องไปกล่าวคำอ้อนวอนต่อคนที่แม้แต่ศีล 5 ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะรักษาได้ครบหรือไม่

ซึ่งในประเพณีการปฎิบัติของชาวพุทธนั้น ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร มีฐานะยิ่งใหญ่อย่างไร จะร่ำรวยหรือยากจนแค่ไหน เขาจะนับถือและให้เกียรติคนที่มีศีลสูงกว่าเสมอ 

ในสมัยพุทธกาล กษัตริย์ทุกองค์ไม่ว่าจะเป็นพระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าปเสนทิโกศล พระเจ้าอาชาตศตรู พระเจ้าอุเทน เจ้ามัลละกษัตริย์ เวลาจะเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ยังต้องถอดทั้งรองเท้าและถอดเครื่องทรงออกก่อนเสมอ การไปพบพระอรหัตต์สาวกก็เช่นเดียวกัน กษัตริย์จะนั่งในที่ต่ำกว่าพระสงฆ์เสมอ แต่กษัตริย์ภูมิพล และกษัตริย์วชิราลงกรณ์ รวมทั้งราชวงศ์จักรีทุกคนกลับไม่ทำตามพุทธประเพณี

นอกเหนือจากนี้ ทั้งกษัตริย์ภูมิพลและกษัตริย์วชิราลงกรณ์ ยังทำในสิ่งที่ไม่สมควรอีกเช่น เมื่อพระเถรานุเถระที่ได้รับสมณะศักดิ์และจะต้องไปรับพัดยศกับกษัตริย์นั้น พระเถรานุเถระทุกรูปจะต้องตั้งแถว(เหมือนเด็กนักเรียนเข้าแถว) แล้วเดินเรียงแถวน้อมตัวก้มศรีษะเข้าไปรับพัดยศกับมือกษัตริย์ ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่สมควรที่ชาวพุทธจะพึงปฎิบัติต่อพระสงฆ์ 

ต่างกับการถวายพัดยศให้พระเถระในประเทศกำพูชา ที่เป็นพุทธนิกายเถรวาทเหมือนกัน แต่เขาจะไม่ให้พระเดินแถวน้อมตัว เดินเข้าไปรับพัดยศกับกษัตริย์ แต่เขาจะให้พระนั่งอยู่ในที่สูงกว่า จากนั้นกษัตริย์สีหมุนี ก็ก้มตัวน้อมพระองค์ลง แล้วถวายพัดยศ ให้กับพระเถระ

สถาบันกษัตริย์ไทย กีดกันไม่ให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ

การที่สถาบันกษัตริย์ไทยก่อตั้ง ”ธรรมยุติกนิกาย”ขึ้นมา ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 เรื่อยมาจนถึงรัชกาลที 9 และที่ 10 ก็เพื่อหวังผลทางการเมือง ทั้งในการปกป้องตัวเอง และเพื่อความมั่นคงของสถาบันกษัตริย์ด้วยแผนยุทธศาสตร์ “เเบ่งเเยกเเล้วปกครอง”นั้น 

มันทำให้พุทธศาสนาในประเทศไทยที่มี "คณะสยามวงศ์" ที่ลงหลักปักฐานได้อย่างมั่นคงอยู่แล้ว ต้องเรียกชื่อฝ่ายตัวเองใหม่ว่า "เถรวาทนิกาย" ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น เรียกว่า การทำ สังฆเภท คือการทำให้สงฆ์แตกแยก โดยพฤติกรรมที่ผ่านมาทั้งหมด ได้มีการบันทึกไว้เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ และมันจะเรียกเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากการ ทำลายพุทธศาสนา

และพฤติกรรมในการทำลายพุทธศาสนาของสถาบันกษัตริย์ไทย ยังเห็นได้อีกในทุกๆพระราชพิธีต่างๆของสถาบันกษัตริย์ และทั้งที่ตัวกษัตริย์และราชวงศ์ทุกคนจะประกาศว่าตนเองเป็นชาวพุทธก็ตาม แต่แทบทุกพระราชพิธี สถาบันกษัตริย์จะให้ศาสนาพราหมณ์มาทำ พิธีกรรมนำหน้า พระในศาสนาพุทธอยู่เสมอ

และสิ่งที่ทำให้แน่ใจว่าสถาบันกษัตริย์เป็นตัวการทำลายศาสนาพุทธ เพราะในปี 2552 ทั้งสือสิ่งพิมพ์และTV นำเสนอข่าวว่า ราชินีสิริกิติ์ แสดงความเห็นคัดค้านไม่เห็นด้วย ที่จะให้พุทธศาสนาบรรจุไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญว่าให้เป็นศาสนาประจำชาติไทย 

ทั้งที่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศไทยนับถือศาสนาพุทธถึง 95% แต่สถาบันกษัตริย์ก็ยังกล้าขัดขวางไม่ให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ต่อมาในปี 2562 รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกคำสั่งยกเลิกไม่ให้พุทธศาสนาเป็นวิชาบังคับในโรงเรียน

รัชกาลที่ 10 หักดิบ มติมหาเถระสมาคม ตั้งสังฆราชเถื่อน

และที่เลวร้ายไปกว่านั้น กษัตริย์วชิราลงกรณ์รัชกาลที่ 10 ถึงกับบังอาจขัดมติมหาเถระสมาคม เพราะในวันที่ 7 มกราคม 2559 ที่ประชุม มหาเถรสมาคม(มส) มีมติเสนอนาม สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) ฝ่ายมหานิกาย ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ และเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อ สถาปนาสมเด็จช่วงฯ เป็นพระสังฆราชองค์ที่ 20 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ 

 

สมเด็จช่วง ถูกแต่งตั้งให้เป็นสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งเป็นสังฆมติ โดยมหาเถระสมาคม

แต่รัชกาลที่ 10 ไม่ยอมลงนามแต่งตั้ง จากนั้นก็เตะถ่วงมติของมหาเถระสมาคมออกไป ปีกว่าๆ จนถึงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2560 รัชกาลที่ 10 ก็หักดิบ ในมติของมหาเถระสมาคม ด้วยการแต่งตั้งสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย นามเดิม อัมพร ประสัตถพงศ์ ฉายา อมฺพโร เป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกพระองค์ที่ 20 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์แทน โดยให้เริ่มดำรงตำแหน่งในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 เป็นต้นมา 

 

สังฆราชเถื่อน(มิได้ถูกแต่งตั้งโดย"สัมฆมติ") สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ นามเดิม อัมพร ประสัตถพงศ์ ฉายา อมฺพโร เป็นสังฆราชองค์ที่ 20 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

แต่การหักดิบ มติมหาเถระสมาคม เช่นนี้ ก็เท่ากับว่า พระสังฆราชฝ่ายธรรมยุติกนิกาย ที่กษัตริย์แต่งตั้ง เป็น สังฆราชเถื่อน เพราะไม่ได้เป็นมติของสงฆ์

ซึ่งเหตุการณ์นี้คล้ายกับการทำ สังฆเภท ของรัชกาลที่ 4 ที่ตั้ง ธรรมยุติกนิกาย สงฆ์นิกายเถื่อน ขึ้นมาในปี พศ. 2379 เพราะแต่งตั้งขึ้นมาเองโดยที ไม่มีสังฆมติรองรับ เช่นเดียวกัน

มันน่าเศร้าตรงที่ว่าประเทศไทยมีผู้นับถือศาสนาพุทธกว่า 95% แต่กลับไม่เป็นที่เชิดหน้าชูตาต่อชาวพุทธทั้งชาวไทยและชาวโลก เพราะ ประเทศไทยมีทั้งสังฆราชเถื่อน และสงฆ์นิกายเถื่อน  ทั้ง 2 เถื่อนก็เป็นคณะสงฆ์ ภายใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท(ฝุ่นใต้ตีน)รับใช้กษัตริย์ ไม่ได้เป็นที่พึ่งพิงของพุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่ของประเทศไทย

ซึ่งการแทรกแซงสถาบันศาสนาของกษัตริย์ไทยที่มีมาอย่างยาวนานเช่นนี้ มันทำให้พระสงฆฝ่ายมหานิกาย ที่เป็นคณะสงฆ์ส่วนใหญ่ของประเทศ ต้องอยู่อย่างระมัดระวังไม่กล้าไปทาบบารมีกับคณะสงฆ์นิกายเถื่อน เพราะถ้าโดดเด่นขึ้นมาเหนือกว่าพระฝ่ายธรรมยุติกนิกาย ก็จะถูกสถาบันกษัตริย์ที่บงการอยู่เบื้องหลังสั่งทำลาย เหมือนกับที่ทำลาย โดยยัดข้อหาคอมมิวนิสต์ให้กับ พระพิมลธรรม (อาจ อาสภมหาเถร) เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ มาแล้ว เป็นต้น

และนี่คือสิ่งที่ ไม่มีสื่อสารมวลชนในประเทศไทยสำนักไหน กล้าออกมาเปิดเผยความจริง 

หมายเหตุ: บทความนี้ ผู้เขียนไม่มีเจตนาที่จะดูหมิ่นพระเถรานุเถระ ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย ทั้งในอดีต และปัจจุบัน เพราะทราบดีว่า การทำสังฆเภท เป็นการกระทำของรัชกาลที่ 4 เพียงคนเดียว และได้ทำมานานแล้ว ตั้งแต่ปีพศ. 2379 ซึ่งเกือบ 200 ปีมาแล้ว พระฝ่ายธรรมยุตกนิกายในอดีต และปัจจุบันไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย และเป็นใครก็ไม่สามารถต้านทานอำนาจของสถาบันกษัตริย์และรัฐบาลทหารเผด็จการของกษัตริย์ได้ พวกท่านเป็นสงฆ์ก็ได้แต่ตามน้ำไป และแม้แต่พระในฝ่ายมหานิกายเอง ก็ไม่ได้ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบ อีกมากมายหลายรูป

และผู้เขียนก็ยังเชื่ออีกว่า พระฝ่ายธรรมยุติกนิกายหลายรูป ทั้งในอดีตและปัจจุบัน เป็นพระอริยะสงฆ์ที่ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบ ตัวอย่างเช่นหลวงปู่มั้น และลูกศิษย์สายหลวงปู่มั่นทุกรูป ยกเว้นหลวงตาบัว เพียงแต่บทความนี้ ผู้เขียนต้องการเอาความจริงในประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริงมาเป็ดเผยให้คนรุ่นใหม่ได้รับรู้

ตระกูลมหิดล เป็นกษัตริย์ที่มาจาก "วรรณะจัณฑาล"

พฤติกรรมต่างๆของกษัตริย์ภูมิพล ที่แสดงให้คนทั่วไปเห็นมาหลายสิบปี คือภูมิพลจะแบ่งชนชั้นวรรณะ โดยให้วรรณะกษัตริย์อยู่เหนือกว่าสถาบันพุทธศาสนา และอยู่เหนือกว่าวรรณะพราห์ม โดยจะเปรียบเทียบให้เห็นดังนี้.-

ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เขาจะแบ่งชนชั้นวรรณะ ตามลำดับดังนี้คือ 1. พราหมณ์ 2. กษัตริย์ 3. แพศย์ 4. ศูทร 5. จัณฑาล ซึ่งเห็นได้ว่า วรรณะพราหมณ์ จะอยู่เหนือกว่า วรรณะกษัตริย์

แต่กษัตริย์ภูมิพลและวชิราลงกรณ์กลับแบ่งชนชั้นวรรณะ ทำให้วรรณะและสถาบันกษัตริย์ อยู่เหนือกว่าสถาบันศาสนา และเหนือกว่า วรรณะพราห์ม (ภูมิพลคือพ่อทุกสถาบัน) โดยจัดลำดับตามวรรณะดังนี้. 1. กษัตริย์ 2. พุทธศาสนา 3. แพศย์ (คือพ่อค้านายทุนนักธุรกิจผูกขาดที่สวามิภักดิ์เป็นข้ารับใช้ถวายเงินให้สถาบันกษัตริย์) 4.ประชาชนไทย (คือไพร่-ทาส ที่ต้องมีหน้าที่จงรักภักดีเท่านั้น ห้ามเห็นต่าง ห้ามขัดแย้ง ห้ามวิจารณ์ และต้องขูดรีดเอาเงินภาษีของพวกไพร่-ทาส มาเลี้ยงดู ปรนเปรอคนในวรรณะกษัตริย์ให้กินดีอยู่ดี)

ถ้าสังเกตุกันให้ดี จะเห็นได้ว่าสถาบันกษัตริย์ไทยแบ่งชนชั้นวรรณะตามที่กล่าวมานี้.-

แต่ในความเป็นจริงแล้ว ตระกูลมหิดลของกษัตริย์ภูมิพล ไม่ได้อยู่ในวรรณะกษัตริย์ แต่อยู่ในวรรณะจัณฑาล ตามความเชื่อของศาสนาพราห์ม-ฮินดู ดังนี้.-

คือการที่จะนับชั้นวรรณะตามหลักความเชื่อของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ตามที่กษัตริย์ภูมิพลได้แสดงให้เห็นหลายครั้งในพระราชพิธีต่างๆ ตามที่กษัตริย์ภูมิพลไปเป็นประธานในพิธี แล้วให้พราห์มทำพิธีก่อนพระในศาสนาพุทธทำพิธี หรือที่เรียกว่าพราห์มนำพุทธในทุกพระราชพิธีนั้น คือสิ่งที่พิสูจน์และแสดงให้เห็นแล้วว่า กษัตริย์ภูมิพลนับถือศาสนาพราห์ม-ฮินดู เพราะ ความเชื่อในศาสนาพราห์ม-ฮินดูนั้น คนที่ต่างวรรณะกันแล้วมาสมรสกัน ลูกที่เกิดมาจะกลายเป็นคนวรรณะจัณฑาล

เมื่อเป็นดังนี้ ตัวกษัตริย์ภูมิพลก็ต้องเป็นคนในวรรณะจัณฑาล ไม่ใช่วรรณะกษัตริย์ ทั้งนี้ก็เพราะว่าบิดาของภูมิพล คือสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ เป็นคนวรรณะกษัตริย์ แต่มารดา นางสังวาลย์ เป็นสามัญชน ซึ่งต่างวรรณะกัน

ดังนั้นกษัตริย์ภูมิพลก็ต้องเป็นคนในวรรณะจัณฑาล กษัตริย์วชิราลงกรณ์ก็ต้องเป็นลูกของกษัตริย์จัณฑาล บรรดาลูกๆของวชิราลงกรณ์ก็ต้องเป็นพวกลูกหลานจัณฑาล

 กำเนิดพุทธลัทธิใหม่ภายใต้ชื่อ”วัดธรรมกาย”

พุทธลัทธิใหม่ภายใต้ชื่อ ธรรมกาย

เราต้องยอมรับความจริงว่า ที่ผ่านมาหลายสิบปี มีผู้คนจำนวนมาก ได้รับรู้ และเห็นในพฤติกรรม รวมทั้งคำสอนของวัดธรรมกายว่า มีความผิดเพี้ยนไปจากหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงมีชาวพุทธจำนวนมากต่อต้านวัดธรรมกาย แต่ในขณะเดียวกันเราก็ต้องยอมรับความจริงอีกข้อหนึ่งเช่นกันว่า ในสังคมของมนุษย์นั้นคนโง่จะมีมากกว่าคนฉลาด ด้วยเหตุนี้จึงมีคนจำนวนมากเช่นกันที่สนับสนุนวัดธรรมกาย

นอกจากนี้ก็ยังมีพระสงฆ์อีกมากมายหลายวัดที่หวังในลาภสักการะ ที่ให้การสนับสนุนวัดธรรมกายด้วยเช่นกัน เพราะวัดธรรมกายเป็นวัดในเชิงพุทธพานิชย์ที่เน้นขายความศักดิ์สิทธิ์ จนร่ำรวยมหาศาล ทำให้วัดธรรมกายมีที่ดินและทรัพย์สินทั่วโลกรวมกันมากกว่าล้านล้านบาท

ดังนั้นทุกครั้งที่วัดธรรมกายจัดงานเพื่อขายความศักดิ์สิทธ์ หรือจัดงานวันเกิดให้กับพระธัมมชโย วัดธรรมกายจะนิมนต์พระจากวัดอื่นมาเป็นจำนวนมาก เพื่อให้มาช่วยสร้างภาพ ซึ่งเรื่องนี้เป็นที่รู้กันในหมู่พระที่หวังในลาภสักการะ ที่จ้องอยากจะไปงานโปรโมทในทุกครั้งที่วัดธรรมกายจัดงาน เพราะต่างรู้ดีว่าวัดธรรมกายจ่ายหนัก

คนฉลาดจงไปหาสมณโคดม ส่วนคนโง่จงมาหาฉัน

กรณีวัดธรรมกายนี้ เปรียบเหมือนกับสำนักของอาจารย์สัญญชัยปริพาชกในสมัยพุทธกาล เพราะหลังจากท่านอุปติสสะ(พระสารีบุตร) ได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบันจากคำสอนของพระอัสชิแล้ว ท่านกับสหายโกลิตะ(พระโมคคัลลานะ) ก็ได้มาพบกับอาจารย์สัญชัยปริพาชกผู้เป็นอาจารย์ เพื่อชักชวนให้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า 

แต่อาจารย์สัญญชัยไม่ยอมไป พอถูกรบเร้าหนักเข้าก็ไม่พอใจ จึงถามท่านอุปติสสะกลับไปว่า “ในโลกนี้คนโง่มากหรือคนฉลาดมาก” ท่านอุปติสสะตอบกลับไปว่า “คนโง่มีมาก คนฉลาดมีน้อย” “ถ้าอย่างนั้น ขอให้คนฉลาดจงไปหาสมณโคดม ส่วนคนโง่จงมาหาฉัน” วิธีคิดนี้ของอาจารย์สัญญชัย จึงเปรียบได้กับพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายในปัจจุบัน ที่มีวิธีคิดเหมือนกับอาจารย์สัญญชัย คือหวังจะเป็นที่พึ่งให้กับเหล่าบรรดาคนโง่

ซึ่งพฤติกรรมของต่างๆ ของพระธัมมชโย และเหล่าบรรดาลูกศิษย์วัดธรรมกาย ที่มีการกระทำขัดกับหลักคำสอนของพระพุทธเจ้ามากมายหลายครั้งนั้น มันทำให้สังคมไทยมีการเคลือบแคลงและถกเถียงกันมาอย่างยาวนานกว่า 50 ปีนั้น มันมีที่มาที่ไปพอที่จะอธิบายได้คร่าวๆดังต่อไปนี้.-

วันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2513 วัดพระธรรมกาย ได้ก่อตั้งขึ้น ที่อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี โดยมีพระธัมมชโย ชื่อเดิมนายไชยบูลย์ สุทธิผล เป็นเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย นายไชยบูลย์บวชเป็นพระภิกษุเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ.2512 ณ พระอุโบสถวัดปากน้ำ ได้ฉายาว่า “ธัมมชโย” แปลว่า “ผู้ชนะโดยธรรม” ซึ่งมีข้อสังเกตุว่า: พระธัมมชโย บวชได้ไม่ถึง 6 เดือน ก็สามารถสร้างวัด และเป็นเจ้าอาวาสแล้ว(ไม่รู้ว่าใครแต่งตั้ง)

สาวกธรรมกาย สร้างข่าว แม่ชีจันทร์ขนนกยูง เหาะปัดระเบิด

ยายจันทร์ เหาะปัดระเบิด

ในช่วงที่วัดธรรมกายโหมโปรโมทวัดใหม่ๆนั้น ได้มีการพิมพ์หนังสืออวดอ้างอิทธิฤทธิ์ ว่า แม่ชีจันทร์ขนนกยูงซึ่งเป็นศิษย์เอกของหลวงพ่อสด และเป็นผู้ที่สอนวิชาธรรมกายให้กับพระธัมมชโย สามารถลงไปขอขมาบิดาซึ่งกำลังตกนรกอยู่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นถึงกับอวดอ้างว่าในสมัยสงครามโลกครั้งที่2  มีคนเห็นแม่ชีจันทร์ขนนกยูงเหาะขึ้นจากวัดปากน้ำ ไปปัดระเบิดตอนเครื่องบินของฝ่ายสัมพันธมิตร กำลังทิ้งระเบิดกรุงเทพฯให้ไปตกที่อื่น 

ต่อมาเมื่อถูกคนจำนวนมากวิจารณ์ในทางลบมากขึ้น เหล่าบรรดาสาวกธรรมกายที่งมงาย ก็ช่วยกันออกมาแก้ข่าวว่า เหตุการณ์ในตอนนั้น แม่ชีจันทร์ขนนกยูงไม่ได้เหาะไปปัดระเบิด เพียงแต่นั่งสมาธิอยู่ที่วัดปากน้ำ แล้วส่งกระแสจิตไปช่วยประเทศชาติเท่านั้นฯลฯ 

และในปี 2531 หนังสือพิมพ์หลายฉบับลงข่าวว่า ธัมมชโย มีการใช้เครื่องสำอาง พยายามทำให้ผิวหน้าดูผุดผ่อง เพื่อให้มี”ฉัพพรรณรังสี”เหมือนกับพระพุทธเจ้า และล่าสุดก็พบว่า”ธัมมชโย”ห่มจีวรต่างจากสงฆ์ทั่วไป คือสวมเสื้อยืดแขนยาว และมีผ้าคลุมไหล่ แทนที่จะเป็นผ้าสังฆาฏิ 

และยิ่งไปกว่านั้นเหล่าบรรดาสาวกของพระธัมมชโย ก็ยังมีการยกย่องเชิดชูตัวธัมมชโยว่าเป็น “ต้นธาตุ ต้นธรรม” ซึ่งความหมายของคำว่า ต้นธาตุ ต้นธรรม นั้นก็คือการโปรโมทให้ธัมมชโยดูเหนือกว่าพระพุทธเจ้า 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง ก็ไม่เคยสอนว่า  ต้นธาตุ ต้นธรรม คืออะไร เพียงแต่สอนแก่เหล่าบรรดาสาวกว่าในวัฏสังสารอันยาวนานนั้น ตัวพระองค์เองก็ไม่ใช่พระพุทธเจ้าพระองค์แรก เพราะมีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นมาแล้วหลายพระองค์และยังจะมีต่อไป ส่วนที่โปรโมทกันว่าธัมมชโยเป็นต้นธรรมมนั้น ก็เป็นการมโนจิตนาการกันขึ้นมาเอง เพราะความหมายของคำว่าต้นธรรมนั้น ไม่มีคน สัตว์ สิ่งของที่ไหนเป็นต้นธรรม เพราะธรรมะก็คือธรรมชาติที่มีอยู่แล้ว ฯลฯ ไม่มีใครเป็นเจ้าของ

ธรรมชโย แต่กายผิดพระธรรมวินัย

ในเดือนกรกฎาคม ปี พศ.2531 วัดธรรมกายต้องการขยายที่ดิน จึงเกิดความขัดแย้งกับชาวนา กรณีแย่งที่ดินข้างวัดพระธรรมกาย ถึงขั้นใช้อาวุธมีดไม้เข้าห้ำหั่นกัน สาวกธรรมกายทั้งเอามีดไล่ฟัน เอาปืนไปไล่ยิงชาวนา เอารถแทร็กเตอร์ไปไถกอข้าว ทำให้ในที่สุดวัดธรรมกายก็ชนะชาวนา ได้ที่ดินไปครอบครอง ซึ่งเรื่องพิพาทนี้หนังสือพิมพ์ทุกฉบับลงข่าว

สาวกธรรมกายพกปืนตีกับชาวนา

ต่อมามีชาวบ้านมีที่ดินติดกับวัดธรรมกายอีก 100 ตารางวา สาวกธรรมกายไปติดต่อซื้อหลายครั้ง แต่ชาวบ้านไม่ยอมขาย เมื่อไม่ยอมขาย ทางวัดจึงใช้วิธีการกลั่นแกล้งสารพัด อาทิ เอาโลงศพไปตั้งใกล้ๆ บ้านบ้าง ปิดถนนที่สามารถเดินเข้าตรงๆมาถึงบ้านที่ยาวประมาณ 3 - 4 ร้อยเมตรบ้าง เมื่อใช้วิธีการดังกล่าวไม่สำเร็จ ก็เอารถแบ็กโฮไปขุดคูรอบๆ บ้าน สูบน้ำส้วมไปใส่ในคู จนในที่สุดเจ้าของที่ดินก็ทนการข่มเหงไม่ไหวจำยอมต้องขาย รวมทั้งยังมีพฤติกรรมอันเลวทรามของวัดธรรมกายอีกมากมายที่ฉาวโฉ่ในทางลบจนตกเป็นข่าวมาอย่างยาวนานต่อเนื่องกันมาหลายสิบปี

ลัทธิจานบิน วัดธรรมกาย บิดเบือนคำสอนของพระพุทธเจ้า

ในส่วนของหลักธรรมที่วัดธรรมกายบิดเบือนคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น อย่างเช่น เป็นที่รับรู้ทั่วไปว่า “อนัตตา” คือความไม่มีตัวตนในทุกสรรพสิ่ง ฯลฯ เป็นแก่นคำสอนของพระพุทธศาสนา แต่ธรรมกายเปลี่ยนหลักคำสอนเป็น “อัตตา” คือการมีตัวตน (เทียบได้กับ “อาตมัน” ของพราหมณ์ฮินดู หรือ “พระเจ้า” ของศาสนาฝ่ายเทวนิยมต่างๆ)

ทั้งที่ในพระไตรปิฎก อ่านอย่างไรก็พบแต่ว่า พระพุทธจ้าสอนเรื่อง “อนัตตา” พุทธศาสนาปฏิเสธ “อัตตา” หรือตัวตนที่ถาวร อันจะพึงยึดมั่นถือมั่น พระพุทธเจ้าสอนความสืบต่อแห่งชีวิตจากชาติหนึ่งไปสู่อีกชาติหนึ่ง เพราะตราบเท่าที่บุคคลยังไม่บรรลุนิพพาน คือความดับสนิทแห่งเพลิงกิเลสและเพลิงทุกข์  กรรมนั้นก็จะยังคงให้ผลแก่ผู้กระทำต่อไป ทำให้มนุษย์และสัตว์ที่ยังดับกิเลสไม่ได้ ต้องเวียนว่ายตายเกิดเปลี่ยนตัวตนไปทุกภพทุกชาติไม่รู้จักจบสิ้น และนี่คือความไม่มีตัวตนที่ถาวรตามที่พระพุทธเจ้าสอน

พระนักคิดนักวิชาการของไทย อย่างท่านพุทธทาสภิกขุ และสมเด็นพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต) ก็ยืนยันว่า “อนัตตา” เป็นแก่นธรรมของพระพุทธศาสนา

พระสายปฏิบัติ อย่างพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต และหลวงพ่อชา สุภัทโท หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม หลวงพ่อพุธ ฐานิโย และพระเกจิวิปัสนาจารย์อีกมากมาย ก็มีคำสอนไปในแนว “อนัตตา” มีแต่ธรรมกายเท่านั้นนั้นที่บิดเบือนคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า มีอัตตา มีตัวตน เป็น อาตมัน เหมือนกับศาสนาพราห์ม-ฮินดู และถ้าท่านผู้อ่าน ได้อ่านบทความนี้มาตั้งแต่ต้น ก็จะพบว่าลัทธิธรรมกาย จะเหมือนกับ พุทธศาสนา ลัทธินิกายมหายาน และลัทธินิกายตันตระยาน ฯลฯ ที่รับเอาความเชื่อของพราห์ม-ฮินดู เข้ามาผสมผสานกับคำสอนของพระพุทธเจ้า

ลัทธิจานบิน ใช้กิเลสของมนุษย์ หลอกล่อให้คนโง่ซื้อตั๋วขึ้นจานบิน เดินทางไปสู่สวรรค์แดนสุขาวดี

ต่อแถวซื้อตั๋วขึ้นจานบินสู่แดนสุขาวดี

ส่วนสาเหตุที่ทำให้เชื่อได้ว่าทำไมธรรมกายจึงสอน “อัตตา”(ความมีตัวตน) ก็เพราะคณะนักวางแผนการตลาด หรือที่เรียกว่าพุทธพานิชย์ของวัดธรรมกายรู้ดีว่า ธรรมมะของพระพุทธเจ้า คนส่วนใหญ่เข้าถึงได้ยาก เพราะแนวทางการปฎิบัติสวนกับกิเลสในความต้องการของมนุษย์ และธรรมกายก็รู้เหตุผลนี้ดีว่ามนุษย์ส่วนใหญ่ต้องการมีความสุขที่เจือปนด้วยกิเลส 

ดังนั้นธรรมกายจึงเน้นแยกสอน “อนุบุพพิกคาถา” เฉพาะบางส่วน ทั้งๆที่ “อนุบุพพิกคาถา” ที่พระพุทธเจ้าสอน มีธรรมให้ปฎิบัติ 5 ข้อ คือ 1.การให้ทาน 2. การถือศีล 3.การไปสวรรค์ 4.โทษของเสพกามคุณ และ 5. อานิสงส์แห่งการออกจากกาม 

แต่ธรรมกายเน้นสอนเพียง 3 ข้อแรก คือ การให้ทาน การถือศีล การไปสวรรค์ เท่านั้น เช่นถ้าใครทำบุญทำทานด้วยเงินหรือมอบทรัพย์สินให้วัดธรรมกายเยอะๆก็จะได้ไปสวรรค์ และถ้าใครทำบุญมากกว่าคนอื่นก็จะได้ไปสวรรค์ในชั้นที่สูงกว่าคนอื่น เป็นต้น แต่ธรรมกายไม่สอนข้อ 3 ข้อ 4 คือสอนในโทษของกาม และสอนการได้อานิสงส์ในการออกจากกาม

ส่วนในแนวทางการปฏิบัติ ธรรมกายมุ่งสู่จุดสูงสุดเพียงแค่สมถะกรรมฐานเท่านั้น คือการภาวนาให้เห็น กายทิพย์ “ดวงแก้วใส” ในสมาธิ คือจบที่สมาธิเท่านั้น โดยไม่มีการสอนให้ยกระดับจิตไปสู่วิปัสนาภาวนา เพื่อให้ได้มาซึ่งปัญญาในการดับกิเลสตัณหาที่เป็นต้นเหตุให้เกิดทุกข์

 

ท่องแดนสุขาวดีกับวัดธรรมกาย

ฝากถึงสาวกธรรมกาย

เป็นที่น่าเสียดายที่มีเหล่าบรรดาสาวกของวัดธรรมกายเป็นจำนวนมาก ที่มีความรู้สูง เรียนจบในระดับมหาวิทยาลัยมากมาย มีหลายคนที่จบด็อกเตอร์ จบจากต่างประเทศ และหลายคนมีฐานะดี มีหน้าที่การงานที่สูงทั้งในภาครัฐและเอกชน แต่กลับงมงายหลงเชื่อคำสอนของวัดธรรมกาย

ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าคณะวางแผนกาตลาดของวัดธรรมกายเก่งในทางจิตวิทยาที่สามารถดึงเอาจิตวิญญานที่อยู่ในส่วนลึกของจิตใต้สำนึกของผู้คนมาใช้ เพื่อให้วัดธรรมกายเป็นที่พึ่งทางจิตใจของพวกเขาได้สำเร็จ (เพราะธรรมชาติในจิตวิญญานของมนุษย์ทุกคน ต้องการมีที่พึ่งทางจิตใจ)

ซึ่งความงมงายของสาวกธรรมกายนี้ก็อธิบายได้ว่า คนเรียนสูงไม่ใช่เป็นคนที่ฉลาดในการใช้ชีวิตในครอบครัว ในสังคม หรือจะมีความฉลาดในด้านอื่นๆด้วยเสมอไป เพราะการมี IQ สูง ที่ทำให้มีปัญญาเรียนรู้ทางโลก ทางวิชาการได้เก่งกว่าคนอื่นอย่างเดียว มันยังไม่เพียงพอ ยังต้องมี EQ คือความฉลาดในด้านอารมณ์ จิตใจ และฉลาดในการอยู่ร่วมทางสังคมด้วย ส่วนคนที่จะเข้าถึงแก่นแท้ของพุทธศาสนาได้นั้น การมีแค่ IQ และEQ ก็ยังไม่เพียงพอ มันต้องมีบุญวาสนาที่เคยสั่งสมมาในพุทธศาสนาอีกด้วย

การมีมิจฉาทิฏฐิ ที่ประชุมอยู่ในกระแสความคิด มีสติปัญญาที่มืดบอดในทางธรรม ของเหล่าบรรดาสาวกธรรมกายนั้น มันมิใช่หนทางของผู้มีปัญญาที่แท้จริงเลย เพราะการมีเพียงปัญญาในทางโลก มันไม่สามารถทำให้คุณมีปัญญาในทางธรรมได้

ซึ่งตรงนี้ก็อธิบายเพิ่มเติมได้อีกว่า ธรรมชาติของมนุษย์นั้น จะไขว่คว้าหาที่เกาะที่พึ่งทางใจกันทุกคน แต่เมื่อเดินผิดเส้นทาง หลงนำความเชื่อที่ไม่ใช่หลักธรรมของพระพุทธเจ้าปักลึกลงไปในจิตใจแล้ว เมื่อมีใครมากล่าวตักเตือน หรือตนเองได้รับรู้ความจริงที่ตรงข้ามกับความศรัทธาและความเชื่อเดิมของตนเองแล้ว ก็จะไม่เปิดใจ ไม่ยอมรับความจริงที่ถูกต้องอันนั้น

และทั้งที่ความจริงแล้ว ยังมีสาวกธรรมกายอีกจำนวนหนึ่ง ที่มีสติปัญญาพอจะแยกออกได้ว่าอะไรผิด อะไรถูก และอะไรควร อะไรไม่ควร แต่ในเมื่อความเชื่อที่ผิดในคำสอนของวัดธรรมกายมันถูกฝังลงไปในจิตใจแล้ว เมื่อมีใครมาโยกมาสั่นคลอนความเชื่อความศรัทธา คนเหล่านั้นก็จะปกป้องความเชื่อความศรัทธาของตนไว้อย่างเหนียวแน่น เพราะต้องการกอดทิฏฐิ กอดทัศนะคติ กอดความเห็น ในความเชื่อเดิมเอาไว้ เพราะถ้าตัวเองไม่กอดศรัทธาเดิมเอาไว้ ไม่กอดความเชื่อเดิมนั้นไว้ มันจะทำให้ตนเองไม่มีที่พึ่ง เพราะสัตว์โลกเป็นแบบนี้ มันเป็นธรรมชาติของสัตว์โลก (ตรงนี้แหละที่บอกว่าธรรมกายเก่งในเรื่องการเล่นในจิตวิญญานที่เป็นจิตใต้สำนึกของผู้คน)

ถึงจะงมงายแต่สาวกธรรมกาย ก็จะได้อนิสงส์จากความเชื่อ

แต่สาวกธรรมกายก็ไม่ต้องกังวลใจไป เพราะพวกคุณจะได้อนิสงส์จากความเชื่อและความศรัทธาแน่นอน เพราะถึงแม้ว่าศรัทธาและความเชื่อที่ยึดถืออยู่นั้น เป็นศรัทธาที่ยังไม่ตรงทางก็ตาม แต่อนิสงส์ของแรงศรัทธาก็ยังส่งผลในทางดีได้เหมือนกัน (เพราะแรงแห่งศรัทธาคือส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ที่จะส่งผลดีให้แก่ผู่ที่ศรัทธา เพียงแต่จะได้มากหรือน้อยเท่านั้น) ยกตัวอย่างคนที่นับถือ คนที่ศรัทธาพระเจ้าในศาสนาคริสต์ นับถือศรัทธา พระพรหมในศาสนาพราหมณ์ฮินดู ฯลฯ ถ้าที่ผ่านมานับพันปีพวกเขาไม่ได้ผลดีอะไรเลย ศาสนาของพวกเขาจะดำรงอยู่เป็นพันๆปีได้อย่างไร

ทั้งนี้ก็เพราะความเชื่อและความศรัทธามันเป็นนามธรรม เมื่อเอาไปผูกไว้กับพระเจ้าหรือ พระพรหม ฯลฯ ก็ถามว่า พระเจ้า พระพรหมเหล่านั้นช่วยพวกเขาได้จริงไหม? คำตอบก็คือช่วยไม่ได้ แต่สิ่งที่ช่วยได้ก็คือ กำลังความเชื่อกำลังความศรัทธาที่เกิดขึ้นในใจนั่นเอง มันจึงส่งผลให้เกิดกุศล ตามฐานะที่ตัวเองตั้งศรัทธาเอาไว้ จะได้มากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่ตรงนี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นการได้กุศลที่ขาดปัญญาก็ตามแต่ก็ได้เหมือนกัน  ทั้งนี้ก็เพราะ กำลังแห่งความเชื่อและกำลังแห่งศรัทธานั้น มันมีอานุภาพยิ่งใหญ่มาก

ซึ่งอธิบายเพิ่มเติมได้อีกว่า พระพุทธเจ้าที่อุบัติมาตรัสรู้แต่ละพระองค์มีอยู่ 3 ประเภท ประเภทแรกคือ พระพุทธเจ้าที่บำเพ็ญเพียรโดยใช้ปัญญานำ ประเภทที่ 2 คือพระพุทธเจ้าที่บำเพ็ญเพียรโดยใช้ศรัทธานำ ประเภทที่ 3 พระพุทธเจ้าที่บำเพ็ญเพียรโดยใช้ความวิริยะนำ ซึ่งพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์มีครบทั้ง ปัญญา ศรัทธา และวิริยะ เพียงแต่ต่างกันที่การบำเพ็ญเพียรว่า พระพุทธเจ้าพระองค์ไหนจะใช้อะไรนำ

ด้วยตัวอย่างที่กล่าวมานี้ ก็จะเห็นได้ว่า ทั้งปัญญา ศรัทธา และวิริยะ ล้วนมีอานุภาพยิ่งใหญ่ทั้งสิ้น ดังนั้นจึงยืนยันได้ว่า เหล่าบรรดาสาวกธรรมกายมีศรัทธานำสติปัญญา และถึงแม้จะเป็นศรัทธาที่เข้าไม่ถึงแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาได้ก็ตาม แต่สาวกธรรมกายก็จะได้อานิสงส์จากแรงศรัทธานั้นแน่นอน เพราะถ้าแรงแห่งความศรัทธาไม่มีอานุภาพ ศาสนาคริสต์ และศาสนาพราหมณ์ฮินดู คงไม่สามารถอยู่ได้มานับพันๆปี

แต่ในส่วนของผู้ที่มีศรัทธาตรงทาง คือผู้ที่เอาศรัทธาไปฝากไว้ที่ปัญญาในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าตามพระไตรปิฏกที่ถ่ายทอดมาโดยพุทธเถรวาทแล้ว ความจริงอันประเสริฐที่พวกเขาเชื่อในธรรมนิยามว่า สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป ไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตา ฯลฯ เมื่อได้ตั้งศรัทธาดังนี้ ศรัทธาก็จะเปลี่ยนสภาพจากความเชื่อเป็นปัญญาที่ได้เห็นจริงตามที่พระพุทธเจ้าสอนจริงๆ ตรงนี้แหละที่ผู้ยึดเอาพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งเป็นสรณะที่จะนำพาเราพ้นทุกข์ ก็จะส่งผลให้ผู้ที่ศรัทธานี้ ได้รับผลดีมากกว่าผู้ที่ยังมีศรัทธาไม่ตรงทางอย่างเช่นพวกสาวกธรรมกาย

มีอีกตัวอย่างในอานุภาพของกำลังศรัทธา ในวันประชุมพุทธศาสนาโลกครั้งที่ 5 ที่มณฑลฟูเจี้ยน ประเทศจีน มีพระสงฆ์ไทยรูปหนึ่งไปสนทนากับพระสงฆ์ผิวสีท่านหนึ่ง ได้ความว่าก่อนบวชท่านอยู่ในประเทศเอธิโอเปีย ที่คนส่วนใหญ่นับถือคริสต์ศาสนา แต่อยู่มาวันหนึ่งท่านได้เห็นรูปพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรกในชีวิต ท่านถึงกับตกตะลึง แล้วนำรูปพระพุทธเจ้ามากอดร้องไห้ ท่านก็บอกกับตัวเองในตอนนั้นว่าต้องหาทางบวชเป็นพระในพุทธศาสนาให้ได้ จากนั้นไม่นานท่านก็หาทางหลบหนีมาอเมริกาได้สำเร็จ จนได้บวชในวัดไทยที่อเมริกา

ตรงนี้ก็อธิบายได้ว่า ในอดีตชาติท่านคงได้ตั้งศรัทธาในองค์พระพุทธเจ้าไว้อย่างแรงกล้า พอมาเกิดในชาติปัจจุบันเพียงแค่เห็นรูปพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรกเท่านั้น ท่านก็ทนอยู่ไม่ได้ ต้องมาบวชเป็นพระให้ได้ และทั้งหมดที่กล่าวมานี่คืออานุภาพของแรงศรัทธา

สาเหตุที่สถาบันกษัตริย์และทหารเผด็จการในสังกัด เล่นงานวัดธรรมกาย

สาเหตุที่รัฐบาลเผด็จการทหารพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา สั่งไล่ล่าเอาผิดกับธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดธรรมกายในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2560 นั้น เชื่อได้ว่าเป็นความต้องการของกษัตริย์วชิราลงกรณ์ ตามแผนยุทธศาสตร์เพื่อความมั่นคงของสถาบันกษัตริย์

สถาบันกษัตริย์กับเผด็จการทหาร ร่วมมือกันบุกวัดธรรมกาย

อย่าลืมว่า การเมืองไทยในสมัยรัชกาลที่ 9 ต่อเนื่องจนถึงรัชกาลที่ 10 สถาบันกษัตริย์จะ บงการอยู่เบื้องหลัง เป็นรัฐบาลเงา ที่ มีอำนาจเหนือรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ในลักษณะ รัฐซ้อนรัฐ โดยมีคณะองคมนตรี ที่เปรียบเหมือนคณะรัฐมนตรี ใช้อำนาจและบารมีของกษัตริย์ สั่งการทุกองค์กร มีอำนาจเหนือทุกรัฐบาล ควบคุมกลไกในอำนาจของรัฐไว้ทั้งหมด ทั้งสถาบันข้าราชการ สถาบันกองทัพ สถาบันตุลาการ สถาบันการเมือง ควบคุมกลไกทางเศรษฐกิจ รวมทั้งด้านศาสนา ฯลฯ โดยรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่ได้เป็นผู้มีอำนาจในการบริหารประเทศอย่างแท้จริง และถ้าคนไทยไม่หลอกตัวเอง ก็จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า "นี่คือสภาพตามความเป็นจริงของการเมืองไทย"

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สถาบันพุทธศาสนานั้น สถาบันกษัตริย์ยิ่งมีความจำเป็นตามแผนยุทธศาสตร์ของวัง ที่จะต้องควบคุมสถาบันพุทธศาสนาเอาไว้ในมือให้ได้ ทั้งนี้ก็เพราะว่ามีประชาชนไทยกว่า 95% นับถือพุทธศาสนา เพราะถ้าสถาบันกษัตริย์สามารถควบคุมสถาบันพุทธศาสนาให้เป็นฝ่ายของตนเองได้ ก็จะเท่ากับว่าสถาบันกษัตริย์ ดึงคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธทั้ง 95% ให้มาเป็นไพร่อยู่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทของตัวเองได้

ดังนั้น วัดธรรมกายจึงอยู่ในข่ายที่สถาบันกษัตริย์จะต้องควบคุม หรือจะเรียกอีกอย่างหนึ่งเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายว่า วังต้องตีวัดธรรมกายเป็นเมืองขึ้นให้ได้ เพราะวัดธรรมกายมีสาวกมาก มีการเติบโตที่น่ากลัว มีสาขาวัดมาก ทั้งในประเทศไทย และในต่างประเทศ

แต่ปรากฎว่าวัดธรรมกายไปสนับสนุนคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ด้วยการสนับสนุนสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญโญ) ให้ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช สวนกับความต้องการของกษัตริย์ที่ต้องการให้คณะสงฆ์ที่อยู่ภายใต้อำนาจของตัวเอง จากฝ่าย ธรรมยุติกนิกาย ขึ้นเป็นสังฆราช

ด้วยเหตุนี้ วังจึงต้องทำลายวัดธรรมกายให้ได้ และถึงแม้ว่า วัดธรรมกายจะเป็นวัดที่บิดเบือนคำสอนของพระพุทธเจ้า มีสาวกที่งมงายนับถืออยู่มากก็จริง แต่ก็ยังต้องถือว่าวัดธรรมกายเป็นวัดในศาสนาพุทธ 

จากเหตุการณ์ตามที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ คือเหตุผลที่กษัตริย์วชิราลงกรณ์สั่งให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เล่นงานธัมมชโย และวัดธรรมกาย 

กษัตริย์วชิราลงกรณ์ ทำลายพระที่สนับสนุนสมเด็จช่วงฝ่ายมหานิกาย อย่างต่อเนื่อง

นอกจากทำลายวัดธรรมกายในปี 2560 แล้ว ต่อมาในเดือนพฤษภาคม ปี 2561 กษัตริย์วชิราลงกรณ์ยังร่วมมือกับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำลายคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกายเพิ่มเติมอีก และ แม้แต่พระสงฆฝ่ายธรรมยุติกนิกายเอง ที่ไปร่วมมือกับพระมหานิกาย ไปสนับสนุนสมเด็จช่วงให้ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช กษัตริย์วชิราลงกรณ์ก็ลงนามสั่งปลด ถอดถอนสมณศักดิ์ และยัดข้อหาเอาผิดทางอาญา ให้แก่พระเถระ 7 รูป ดังนี้.-1.พระพรหมสิทธิ (ธงชัย สุขโข) วัดสระเกศ มหานิกาย 2.พระพรหมเมธี (จำนงค์ เอี่ยมอินทรา) วัดสัมพันธวงศ์ ธรรมยุต 3. พระพรหมดิลก (เอื้อน กลิ่นสาลี) วัดสามพระยา มหานิกาย 4.พระราชอุปเสณาภรณ์ วัดสระเกษ มหานิกาย 5.พระราชกิจจาภรณ์ (เทอด วงศ์ชะอุ่ม) วัดสระเกศ มหานิกาย 6.พระอรรถกิจโสภณ (สมทรง อรรถกฤษณ์) วัดสามพระยา มหานิกาย 7.พระศรีคุณาภรณ์ (บุญทวี คำมา) วัดสระเกศ มหานิกาย

พระเถระทั้ง 7 รูป ต้องโดนยัดข้อกล่าวหาต่างๆ ทั้งในคดีทุจริตเงินทอนวัด และคดีอื่นๆ รวมทั้งยังมีมติของมหาเถระสมาคมให้ปลด "พระพรหมดิลก-พระพรหมสิทธิ-พระพรหมเมธี" พ้นกรรมการมหาเถระสมาคม 

นี่คือการรุกรานและทำลายพุทธศาสนา อย่างต่ำช้าสามานย์ที่สุด อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ในประวัติศาสตร์ชาติไทย โดยที่ชาวพุทธทั้งในไทยและทั่วโลก นึกไม่ถึงว่าสถาบันกษัตริย์จะกล้าทำลายพุทธศาสนาอย่างโจ่งแจ้งถึงเพียงนี้

กรรมตามทันต่อผู้ที่ทำลายศาสนาและพระอริยสงฆ์

ซึ่งเหมือนกับครั้งเหตุการณ์ในอดีต ที่กษัตริย์ภูมิพล สั่งการให้ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยัดข้อหาคอมมิวนิสต์ เพื่อหวังทำลายพระพิมลธรรม (อาจ อาสภมหาเถร) เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ ที่ชาวพุทธเชื่อว่าท่านเป็นพระอริยสงฆ์ โดยถอดสมณศักดิ์และจับสึก ด้วยการถอดจีวรดึงผ้ากาสาวพัสตร์ออกจากพระองค์ท่าน ซึ่งต่อมาศาลก็ตัดสินว่าท่านไม่ผิดตามข้อกล่าวหา จนต้องคืนสมณศักดิ์ให้กับท่าน นับเป็นพฤติกรรมอันชั่วช้าเลวทรามของสถาบันกษัตริย์ และผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

และต่อมาคณะบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการทำลายพระพิมลธรรมในครั้งนี้ ต่างก็ประสพกับผลกรรมต่างๆนาๆ ตามสนองเร็วหรือช้าตามกรรมวาระของแต่ละคน โดยบางคนก่อนตาย ก็ต้องทนทุกข์ทรมานนานหลายปี อย่างเช่นกษัตริย์ภูมิพล บางคนก็เป็นอัมพาตทนทุกข์ทรมานจนเสียชีวิต ส่วนจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก็ถูกกษัตริย์ภูมิพลวางยาพิษจนตาย เพราะกุมอำนาจไว้มากเกินไป ทหารตำรวจที่ไปร่วมถอดจีวรพระพิมลธรรมก็ประสพอุบัติเหตุรถคว่ำตายที่นครสวรรค์ภายในคืนนั้น เรียกว่ากรรมตามทันทั้งหมด

ถ้าชาวพุทธไทย ไม่โง่งมงาย ไม่ปิดหูปิดตาตัวเอง ก็จะรู้เห็นตามความเป็นจริงว่า สถาบันกษัตริย์ไทย ในสมัยราชวงศ์จักรี ทำลายพุทธศาสนามาอย่างต่อเนื่องยาวนานเกือบ 200 ปี ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4  จนถึงกษัตริย์รัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่ 10 โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ รัชกาลที่ 9 นั้น เป็นต้นแบบของกษัตริย์ใน "วรรณะจัณฑาล" และรัชกาลที่ 10 ก็สืบเชื้อสายมาจาก "กษัตริย์จัณฑาล"

 พุทธเสิ่นเจิ้น (นักก๊อปในตำนาน) กับพุทธนิกายใหม่ วชิราลงกรณ์นิกาย

พุทธนิกายมหายาน ก๊อบเกรท A

ปัจจุบันเมืองเสิ่นเจิ้นในประเทศจีน ที่อยู่ใกล้กับเกาะฮ่องกง มีชื่อเสียงทางด้านการปลอมแปลงสินค้า Brand name จากทุกมุมโลก ดังนั้นจึงเปรียบเทียบกับพระพุทธศาสนาที่ถูกปนเปื้อนว่าเป็น พุทธเสิ่นเจิ้น คือนักก๊อบในตำนานที่มีทั้ง ก๊อปเกรท A เกรท B และเกรท C

พุทธตันตระยาน ก๊อบเกรท B

ซึ่งเปรียบเทียบได้ว่า พุทธนิกายมหายาน เป็นก๊อบเกรท A  ,พุทธนิกายตันตระยาน เป็นก๊อบเกรท B  ,พุทธนิกายวัชรยาน และนิกายเซ็น เป็นก๊อบเกรท C  , ส่วนวัดธรรมกายและสันติอโศกในประเทศไทย เป็นก๊อบเกรทเลว 

พุทธนิกายวัชรยาน ที่แตกตัวมาจากพุทธนิกายตันตระยาน ก๊อบเกรท C

ซึ่งพุทธเกรท C นิกายวัชรยานนี้ สันนิษฐานว่ากษัตริย์วัชิราลงกรณ์ คงได้แรงบันดาลใจจากพุทธนิกายนี้ ไปตั้งพุทธนิกายใหม่ เรียกว่า "วชิราลงกรณ์นิกาย"เพราะท่านชอบเสพกามกับเหล่าบรรดานางสนมที่มีอยู่มากมายในวัง

การปนเปื้อนของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย แรกเริ่มได้รับอิทธิพลมาจากลัทธินิกายมหายาน ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 12-13 จากอาณาจักรศรีวิชัย  ซึ่งมีอิทธิพลทางตอนใต้ของจักรวรรดิขอม  และมีอาณาเขตครอบคลุมมลายู เกาะชวา เกาะสุมาตรา ช่องแคบมะละกา และบริเวณภาคใต้ของประเทศไทย โดยมีศูนย์กลางอยู่บริเวณจังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งมีหลักฐานอย่างชัดเจนเช่น เทวรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ซึ่งขุดพบที่อำเภอไชยา สุราษฎร์ธานี เทวรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรที่ปราสาทเมืองสิงห์ อำเภอไทรโยค กาญจนบุรี หรือพระพิมพ์ดินดิบต่างๆที่มีศิลปะขอมหรือศรีวิชียที่พบได้ในแหล่งโบราณคดีต่างๆ

แต่หลังจากที่ศาสนาพุทธนิกายเถรวาท และลังกาวงศ์ ได้เข้ามาในไทยแล้ว บวกกับการที่คนไทยส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาทมาตั้งแต่ดั้งเดิมก่อนนิกายมหายาน จึงทำให้ความนิยมของนิกายมหายานเสื่อมถอยลงไป

จนต่อมาในยุคกรุงธนบุรี ชาวญวณ ได้อพยพจากเวียดนามเนื่องจากเกิดสงครามมา ต่อมาได้ตั้งคณะสงฆ์ขึ้นนั่นก็คือคณะสงฆ์อนัมนิกายแห่งประเทศไทย และต่อมาในอาณาจักรรัตนโกสินทร์ ก็มีชาวจีนได้อพยพหนีสงครามภายในประเทศเข้ามาในไทย ก็ได้ตั้งคณะสงฆ์ขึ้น ซึ่งมีชื่อว่าจีนนิกาย จวบจนปัจจุบัน รวมทั้งยังมีพุทธนิกายมหายาน และนิกายวัชรยานเพิ่มขึ้นมาอีก

ทำให้ในปัจจุบันปี พศ.2566 ยังมีคนไทย และคนไทยเชื้อสายจีนจำนวนมาก ทั้งที่บอกตัวเองว่านับถือ พุทธเถรวาท ที่มีแก้ว 3 ปราการ อันเป็นสิ่งประเสริฐที่มีอยู่ในมือแล้ว คือ พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะ แต่หลงผิดไม่เชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้า ตามที่เหล่าบรรดาพระอรหันต์สาวกเถระ ที่ท่องจำคำสอนของพระพุทธเจ้า จนนำมาสู่การบันทึกไว้ในพระไตรปิฏก แต่กลับไปเชื่อพระโพธิสัตว์ที่นิกายต่างๆจิตนาการขึ้นมาเองอย่างผิดๆ ซื้อตั๋วเดินทาง อยากไปอยู่ดินแดนสุขาวดีหลังความตาย ตามที่วัดธรรมกายเร่ขายบุญ ตามความเชื่อของลัทธินิกายมหายาน

รวมทั้งยังนับถือพุทธในรูปแบบความเชื่อจากจีน เช่นนับถือพระโพธิสัตว์พระอวโลกิเตศวรที่ต่อมาได้พัฒนาเป็นเทพเจ้าสตรี พระแม่กวนอิม เป็นต้น โดยแยกไม่ออกว่านับถือพุทธศาสนานิกายไหนกันแน่ และยังนับถือพุทธแบบผสมผสานกับศาสนาพราห์ม-ฮินดู และนิกายอื่นมั่วไปหมด เช่นนับถือพระราหู พระศิวะ พระพิฆเนศ พระพรหม ฯ รวมทั้งยังนับถือสัตว์เดรัจฉานอย่างเช่นพญานาคเป็นต้น และยังไม่นับประชาชนบางส่วนในภาคเหนือและภาคอิสานของไทยที่ยังนับถือผีอยู่เป็นจำนวนมาก ฯลฯ

ดังนั้นผู้ที่นับถือพุทธศาสนาในประเทศไทย จึงจำเป็นต้องใช้สติปัญญาพิจารณาแยกแยะและถามตัวเองให้ได้ว่า คุณเป็นพุทธเสิ่นเจิ้น ที่เป็นก๊อปเกรด A เกรท B หรือเกรท C 

นอกจากนี้ ถึงแม้ว่าในประเทศไทยจะประกาศตัวเองว่าเป็นพุทธเถรวาทก็ตาม แต่เห็นพระและวัดมากมายที่ปฎิบัติไม่ตรงกับพระธรรมวินัย  ทำผิดศีล ผิดวินัยจนตกเป็นข่าว และที่เห็นกันมากก็มี พระที่บ้าคาถาอาคมโปรโมทว่าตัวเองศักดิ์สิทธิ์ เสกเป่าลงยันต์ต่างๆ ยังมีพระที่ใบ้หวยเพื่อหวังลาภสักการะ พระที่บ้าตำแหน่ง บ้าพัดยศ อยากมีตำแหน่ง อยากมีชื่อเสียง และพระที่ประจบฆารวาท ประจบเจ้าสัวที่มีเงินมีอำนาจก็มีให้เห็นกันมาก

และเป็นที่น่าเสียดาย ที่มีพระจำนวนมากมายในประเทศไทย ที่ยังไม่รู้จักการปฎิบัติวิปัสนากรรมฐานเลย ทั้งๆที่การทำกรรมฐานเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้กำหนดไว้ในวัตรปฎิบัติที่ให้พระในศาสนาพุทธทุกรูป ต้องทำ 

คือเห็นได้ในตอนที่บวชเป็นพระภิกษุ ในช่วงที่ขานนาค พระอุปัชฌาย์ จะบอกให้พิจารณา มูลกรรมฐาน หรือ ตจปัญจกกรรมฐาน ซึ่งเป็นกรรมฐานบทแรกของภิกษุผู้บวชใหม่ คือ ให้พิจารณา เกศา(ผม) โลมา(ขน) นขา(เล็บ) ทันตา(ฟัน) ตโจ(หนัง) ให้เป็นอารมย์ว่าเป็นของไม่งาม ฯลฯ และนี่คือกรรมฐานที่พระต้องปฎิบัติ

แต่ในปัจจุบันพอบวชเสร็จ พระ 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ ก็บวชแล้วบวชเลย ไม่เคยพิจารณามูลกรรมฐาน หรือ ตจปัญจกกรรมฐาน ตามที่พระอุปัชฌาย์บอกตอนบวชเลย ซึ่งทำให้เห็นได้ว่า พระส่วนใหญ่มองเห็นการบวชเป็นเพียงแค่พิธีกรรมเพื่อให้บวชเสร็จๆไปเท่านั้น 

แต่ถ้าพุทธบริษัท อุบาสก อุบาสิกาในประเทศไทยเข้มแข็ง สามารถเข้าถึงพุทธศาสนาได้ถูกต้องตามความเป็นจริง โดยแยกแยะได้ว่า อะไรคือ พุทธแท้ อะไรคือ พุทธเทียม(พุทธเสิ่นเจิ้น) โดยมีพวกท่านคอยสอดส่องดูแล ก็จะสามารถช่วยกันบำรุงพุทธศาสนาเถรวาทดั้งเดิมให้ยั่งยืนได้ และถึงแม้ว่าพวกท่านจะไม่ได้ห่มเหลือง แต่พวกท่านเป็นผู้ที่มีบุญใหญ่อย่างแท้จริง เพราะพวกท่านคือผู้ที่สืบทอดพุทธศาสนาได้ดีกว่าผู้ห่มเหลืองอีกหลายคน 

และขอย้ำว่า ผู้ที่สืบทอดพระพุทธศาสนา อย่างเช่นเพียงแค่การทำบุญใส่บาตร ฯลฯ ก็เรียกได้ว่า ท่านเป็นผู้สืบทอดพระพุทธศาสนาแล้ว และผลบุญจากการเป็นผู้สืบทอดพระพุทธศาสนา ผู้เขียนก็เชื่อว่า ผลบุญนี้จะติดตัวท่านไปทุกภพทุกชาติ ไม่ให้ท่านไปเกิดในดินแดนหรือประเทศที่ไม่มีพุทธศาสนา ทำให้พวกท่านไม่ต้องไปเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสังสารอันยาวนาน ตายเกิดไม่รู้จักจบสิ้น เช่นเกิดเป็นมนุษย์บ้าง เป็นพรหมบ้าง เป็นเทวดาบ้าง เป็นเปรตบ้าง เป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง เป็นสัตว์นรกบ้าง 

แต่พระพุทธเถรวาทที่ยึดคำสอนโดยตรงของพระพุทธเจ้า สามารถย่นระยะเวลาให้ท่านไปสู่แดนนิพพานได้เร็วกว่า พุทธเทียม และศาสนาอื่นๆ

หมายเหตุ: ศาสนาอื่นๆก็สอนให้เป็นคนดี เพียงแต่พ้นทุกข์ได้ช้ากว่าคำสอนของพุทธศาสนา

ปัจจุบัน พุทธนิกายเถรวาท เริ่มเผยแพร่เข้าสู่ดินแดนอเมริกาและยุโรป รวมทั้งกลับคืนสู่ดินแดนต้นกำเนิดในอินเดีย

หลวงพ่อชากับลูกศิษย์พระยุโรป

 ถึงแม้ว่าพุทธศาสนาปัจจุบันในประเทศไทย จะถูกทั้งไวรัสจากสถาบันกษัตริย์ และไวรัสจากทหารเผด็จการเล่นงาน แต่ก็ยังเป็นที่น่ายินดีว่า ดินแดนในบางส่วนของประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา และบางส่วนของหลายประเทศในยุโรป พุทธศาสนานิกายเถรวาท ก็ได้มีการเผยแพร่และเริ่มเป็นที่รู้จักของประชาชนในแถบประเทศเหล่านั้นมากขึ้น มีฝรั่งชาติตะวันตกหันมานับถือพุทธศาสนามากขึ้น มีการสร้างวัดขึ้นทั้งในอเมริกา แคนาดา และในยุโรปมากมายหลายประเทศ 

 

และถึงแม้ว่าจะมีพุทธศาสนานิกายมหายาน คือพุทธลัทธิวัดธรรมกาย เป็นพุทธไวรัสเผยแพร่ปะปนอยู่ในประเทศอเมริกาและยุโรปอยู่มากก็ตาม แต่พุทธศาสนานิกายเถรวาทดั้งเดิม(ความจริงอันประเสริฐ) ก็ค่อยๆปะปนรุกคืบเข้าไปในดินแดนประเทศตะวันตกและอเมริกาได้เหมือนกัน และยังสามารถรุกคืบกลับคืนไปสู่ดินแดนต้นกำเนิดแดนพุทธภูมิในประเทศอินเดีย ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับบุญวาสนาของมนุษย์แต่ละคนว่าจะรับเอาพุทธแท้ หรือ พุทธเทียม(พุทธเสิ่นเจ้น)

หลักสำคัญของพระพุทธศาสนา คืออะไร

          หลักสำคัญของพระพุทธศาสนา สรุปได้ดังนี้

          ๑. ไม่ทำชั่วทั้งปวง ทำแต่ความดี ทำจิตของตนให้บริสุทธิ์สะอาด

          ๒. ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์ และข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์

          ๓. ศีล สมาธิ และปัญญา นำไปสู่วิมุตติ หรือความหลุดพ้น

          ๔. สิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น ถือมั่น เพราะสิ่งทั้งปวงไม่มีตัวตนที่ถาวร

          ๕. นิพพาน คือ ภาวะที่ไร้กิเลส ไร้ทุกข์ทั้งปวง

 

 

 

 

                                            สิ่งปนเปื้อนในพุทธศาสนา พุทธโควิท บทความโดย: นายพิษณุ พรหมสร เผยแพร่: 4 กุมภาพันธ์ 2566 ถ้าบอกตั...