วันอังคารที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2560

บทความ: สถาบันกษัตริย์กับการค้ายาเสพติ ตอนที่ 2 การเมืองในสยามประเทศ



                          สถาบันกษัตริย์กับการค้ายาเสพติด



บทความโดย พิษณุ พรหมสร Anti


เผยแพร่ครั้งแรก   30 กรกฎาคม 2557  ในชื่อหัวข้อ ”เส้นทางยาเสพติดของลุงสมชาย”  

แก้ไขอัพเดทเพิ่มเติมครั้งที่1 - 12  กันยายน 2560   ในชื่อหัวข้อ “สถาบันกษัตริย์กับการค้ายาเสพติด”

                                ตอนที่ 2                                                
                       การเมืองในสยามประเทศ

        ในช่วงที่กษัตริย์รัชกาลที่ 7 ได้ประกาศสละบัลลังก์  คณะราษฎรจึงได้ประชุมปรึกษากัน โดยได้ผลสรุปในสองประเด็นคือ.-

1. ให้สถาบันกษัตริย์ยังคงอยู่ในประเทศไทย แต่กษัตริย์ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ และ
2.  ต้องค้นหาเชื้อสายเจ้าที่ไม่มีอิทธิพลในทางการเมืองมาเป็นกษัตริย์

ซึ่งก่อนที่จะมีผลสรุปทั้ง 2 ประเด็น มีเบื้องหลังดังนี้.-

      เบื้องหลังในประเด็นแรก.. เสียงส่วนใหญ่ในตอนแรก ต้องการที่จะให้ล้มเลิกสถาบันกษัตริย์ไปเลย แต่ท่านปรีดี พนมยงค์ ไม่เห็นด้วย ทำให้คณะราษฎรหลายคน ณ เวลานั้น ทั้งไม่อาจขัดใจ และเกรงใจท่านปรีดี พนมยงค์  ที่ยังไม่ต้องการให้ล้มเลิกสถาบันกษัตริย์ ดังนั้นในที่ประชุม จึงสรุปว่าให้คงมีสถาบันกษัตริย์อยู่ต่อไป
ปรีดี พนมยงค์
      เบื้องหลังในประเด็นที่สอง.. จากการที่คณะราษฎรมีโจทย์ว่า จะต้องทำการคัดเลือกเชื่อสายเจ้าที่ไม่มีอิทธิพลทางการเมืองมาเป็นกษัตริย์นั้น ซึ่งมีเบื้องหลังคือในช่วงแรก ได้มีบรรดาเชื้อพระวงศ์ที่ยังคงมีอิทธิพล เสนอให้ จอมพล จอมพลเรือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ซึ่งเป็นลูกของรัชกาลที่ 5 ให้มาเป็นกษัตริย์ 
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต
       แต่คณะราษฎรซึ่งมีโจทย์อยู่แล้ว เห็นว่า สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ยังคงมีมีอำนาจทางการเมืองในขณะนั้นมาก เพราะเคยดำรงตำแหน่งที่สำคัญทางการทหาร เช่น ตำแหน่งเสนาธิการทหารบก ผู้บัญชาการกรมทหารเรือ เสนาบดีกระทรวงทหารเรือ เสนาธิการทหารบก เสนาบดีกระทรวงกลาโหม เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย และยังเคยเป็นผู้สำเร็จราชการรักษาพระนคร และดำรงตำแหน่งองคมนตรี ทั้งรัชกาลที่ 6 และ 7 มาก่อน

   ดังนั้น คณะราษฎร์จึงปฏิเสธข้อเสนอของเหล่าบรรดาเชื้อพระวงศ์ แต่ไปคัดเลือก พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอานันทมหิดล ซึ่งเป็นเชื้อสายของเจ้าสายสว่างวัฒนามาแทน ทั้งๆที่ในช่วงนั้น พวกเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงจะต่อต้าน และดูถูกลูกของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม คือพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอานันทมหิดล ว่าเป็น “เจ้าปลายแถว” เพราะมีแม่คือพระชนนีศรีสังวาลเป็นสามัญชนไม่มีเลือดสีน้ำเงินของชนชั้นกษัตริย์ และตามความเชื่อในลัทธิพราหมณ์ของพวกเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง ยังดูถูกลูกของชนนีศรีสังวาลอีกว่า เป็น”จัณฑาล”

       ซึ่งต่างกับสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ซึ่งมีเลีอดสีน้ำเงินเข้มเพราะเป็นลูกของรัชกาลที่ 5 โดยตรง และมีมารดาที่เป็นลูกของรัชกาลที่ 4 โดยตรงอีกเช่นกัน คือสมเด็จพระปิตุจฉาเจ้าสุขุมาลมารศรี ซึ่งพวกเชื้อพระวงศ์จะถือว่า สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต มีสายเลือดกษัตริย์สีน้ำเงินที่เข้มข้นกว่าเจ้าปลายแถวที่มาจากตระกูลมหิดล

       แต่ในที่สุด คณะราษฎรก็ตัดสินใจเลือกเจ้าปลายแถวพระองค์เจ้าอนันทมหิดลให้ขึ้นมาเป็นกษัตริย์ และถือได้ว่าการตัดสินใจในครั้งนั้น ของท่านปรีดีและคณะราษฎรถูกต้อง เพราะว่าต่อมาพระเจ้าอยู่หัวอนันทมหิดล รัชกาลที่ 8 ทรงมีแนวคิด ที่ยินยอมเป็นกษัตริย์อยู่ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ ตามคำแนะนำของนายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และเป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น

ในหลวงรัชกาลที่ 8

                        เจ้าปลายแถวคนที่ 2 ฆ่าพี่ชิงบัลลังก์   
      
       แต่แล้ว..สถานการณ์ก็พลิกผันอีกครั้ง เพราะในครั้งนั้น ใครจะไปคิดว่า อนุชาภูมิพล ซึ่งตอนนั้นอายุ 19 ปี และกำลังมีความคึกคะนอง บวกกับความริษยาอยากขึ้นเป็นกษัตริย์เสียเอง ดังนั้นในช่วงเช้า ของวันที่ 9 มิถุนายน 2489 อนุชาภูมิพล จึงได้ลั่นไกปืน สังหารในหลวงรัชกาลที่ 8 บนแท่นพระบรรทม ภายในพระบรมมหาราชวัง

อนุชาภูมิพล ฆ่าพี่ชิงบัลลังก์
  
                              เบื้องหลังการช่วยเหลือฆาตกร

     แต่หลังจาก รัชกาลที่ 8 ถูกฆาตกรรมแล้ว ได้มีพี่-น้องในราชสกุลปราโมช คือ มรว.เสนีย์ ปราโมช และ มรว. คึกฤทธิ์ ปราโมช และราชนิกุลบางส่วน มีความเห็นว่า มีแนวโน้มที่ภูมิพลจะไม่รอดในคดีสวรรคต 

มรว.เสนีย์ ปราโมช                                      มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช
        ดังนั้นเพื่อที่พวกเขาจะสามารถรักษาระบอบกษัตริย์เอาไว้ได้ จึงได้สนับสนุนพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร กรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิพินิต ซึ่งมีพระบิดาคือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ที่พลาดจากการที่ควรจะได้เป็นกษัตริย์รัชกาลที่ 8 ไปแล้วครั้งหนึ่ง ให้ขึ้นเป็นกษัตริย์รัชกาลที่

พระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร กรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิ์พินิต
                                ช่วยเหลือฆาตกรให้ขึ้นเป็นกษัตริย์

       แต่คณะราษฎร อันมีนายปรีดี พนมยงค์ และจอมพล ป. พิบูลย์สงคราม ที่กำลังมีอำนาจอยู่ในขณะนั้น มีความเห็นว่า สมควรที่จะสนับสนุนภูมิพล เพราะอายุยังน้อยเพียง 19 ปี โดยที่ยังไม่มีบริวารและอิทธิพลมากนัก  

      แต่ถ้าให้ พระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร กรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิพินิต ขึ้นเป็นกษัตริย์ ก็จะเป็นอันตราย เพราะมีอิทธิพลมาก ดังนั้นทั้งนายปรีดี พนมยงค์ และจอมพล ป.จึงต้องสกัดพระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตรฯ โดยให้การช่วยเหลืออนุชาภูมิพลให้หลุดพ้นจากคดีฆ่าในหลวงรัชกาลที่ 8 ให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดๆก็ตาม

     ดังนั้นในช่วงค่ำเวลา 21.00 น.ของวันที่ 9 มิถุนายน 2489 รัฐสภา จึงมีมติในที่ประชุมให้อัญเชิญอนุชาภูมิ พลขึ้นเป็นกษัตริย์รัชกาลที่ 9  

      และหลังจากนั้นอีก 7 วัน ในวันที่ 16 มิถุนายน 2489 ก็มีการแต่งตั้ง สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์กรมพระยาชัยนาทนเรนทร เป็นประธานคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ 
พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร

                          ภูมิพลร้อนตัวจนต้องหนีการสอบสวน

       ถึงแม้ว่าอนุชาภูมิพลได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ไปแล้วก็ตาม แต่การสอบสวนหาผู้กระทำผิดในคดีลอบปลงพระชนม์ ในหลวงรัชกาลที่ 8 ก็ยังมีการดำเนินการต่อไป  

       ซึ่งหลังจากเกิดกรณีปลงพระชนม์ ได้ประมาณ 1 เดือน กษัตริย์ภูมิพลก็มีอาการร้อนตัว จากที่เคยเป็นคนร่า เริงก็เริ่มเป็นคนเครียด และ มีอาการร้อนรุ่ม จนภูมิพลต้องไปปรึกษากับพระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ ให้หาทาง หลบจากคดี ที่กำลังสอบสวนอย่างเข้มข้น โดยจะอ้างกับรัฐบาลว่าจะไปศึกษาต่อในต่างประเทศ

      จากนั้นจึงได้มีการติดต่อไปยังทูตอังกฤษว่าจะขอไป ศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ (โดยพระองค์เจ้ารังสิตประยูร ศักดิ์ ฯ ให้คำแนะนำกับภูมิพลในตอนนั้นว่า ถ้ามหาอำนาจอังกฤษยอมให้ไปศึกษาต่อ ก็จะเป็นการประกันอีก ชั้นหนึ่งว่าภูมิพลไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับฆาตกรรมในหลวงอนันต์)

       แต่เมื่อหนังสือจากทูตอังกฤษได้ถึงมือ พระเจ้าจอร์จที่ 6 กษัตริย์อังกฤษในขณะนั้น (ซึ่งท่านเป็นบิดาของราชินีอลิซาเบทในปัจจุบัน) 

พระเจ้าจอร์จ ที่ 6

        พระองค์จึงเรียกเอิร์ลแบทเต็นมาถาม (ซึ่งในขณะนั้น ท่านเอิร์ล หลุยส์ เมาท์แบตเตน เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของทหารสัมพันธ์มิตรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และเป็นผู้ที่ อังกฤษส่งไปดูแลพม่า และท่านมีความรักและสนิทสนมกับในหลวงรัชกาลที่ 8 มาก)  

ท่านเอิร์ล หลุย เมาท์แบทเต็น
        ซึ่งหลังจากทราบคำบอกเล่าจากท่านเอิร์ลแบทเต็นแล้วว่า อนุชาภูมิพลเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆ่าในหลวงรัชกาลที่ 8 พระเจ้าจอร์จที่ 6 จึงบอกให้ท่านเอิร์ลแบทเต็น ไปบอกทูตอังกฤษให้ตอบกลับไปว่า “ให้มันไปเคลียร์คดีฆาตกรรมพี่ชายของมันให้ได้เสียก่อนค่อยว่ากัน”   

       เมื่อถูกปฏิเสธ ภูมิพลจึงจำใจต้องกลับไปสวิสเซอร์แลนด์ และอยู่ในสวิสเซอร์แลนด์ โดยที่ไม่ได้ กลับไปเรียนหนังสือต่อ จนกระทั่งในวันที่ 4 ตุลาคม  2491 ในเวลาประมาณ 4 ทุ่ม ภูมิพลขับรถเฟียตโทโปลิโนสปอร์ต (Fiat Topolino Sport) แข่งกับพันเอก อร่าม รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ ซึ่งเป็นพี่เขยและเป็นผัวคนแรกของพระพี่นาง  แต่พลาดท่าไปชนท้ายรถบรรทุกบน ทางด่วนเจนีวา-โลซานนอกเมืองโลซานน์ ราวสิบกิโลเมตร ทำให้เศษกระจกรถที่แตกกระเด็นเข้าใส่นัยน์ตา จนทำให้ตาข้างขวาบอด  
Fiat Topolino Sport
      ย้อนกลับมาประเทศไทย ซึ่งในช่วงเวลานั้น ได้มีการทำลายหลักฐานหลายอย่างในคดีสังหารในหลวงรัชกาลที่ 8 ไปแล้ว ส่วนแพะอีก3 คน คือนายชิต นายบุศย์ นายเฉลียวก็อยู่ในคุก รอการประหาร เมื่อภูมิพลรักษาตัวหายแล้ว ทางโล่งสะดวกภูมิพลก็กลับประเทศไทยพร้อมกับคู่หมั้น มรว.สิริกิติ์ กิติยากร โดยกลับมาประเทศไทยในปี 2493 เพื่อประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส.. จากจุดนั้นภูมิพลได้เริ่มสร้างฐานอำนาจทางการเมือง 

ทำลายหลักฐาน สร้างพยานเท็จ

                                           
                                      ภูมิพลเริ่มสร้างฐานอำนาจ     

        การกลับมาประเทศไทยในช่วงเวลานั้น นับว่าเป็นจังหวะที่ดี เพราะถึงแม้ว่าสงครามโลกครั้งที่ 2 จะเพ่งยุติลงไปแล้วก็ตาม แต่ ภัยอันตรายใหม่ของโลกเสรี คือลัทธิคอมมิวนิสต์ ที่กำลังแผ่ขยายเข้ามามีอิทธิพลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้    

      ทำให้สหรัฐอเมริกาผู้นำแห่งโลกเสรี จำเป็นต้องหาผู้นำที่จะมาต่อต้านการขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์ใน ประเทศไทย เพราะประเทศในแถบนี้หลายประเทศได้ถูกลัทธิคอมมิวนิสต์ครองงำไปแล้ว เช่น เวียดนาม ลาว พม่า และกำพูชา

      ดังนั้นสหรัฐอเมริกาจึงจำเป็นต้องให้การ สนับสนุนกษัตริย์ภูมิพล เพื่อให้เป็นจุดศูนย์รวมใจของชาวไทย   ไม่ให้ไปฝักใฝ่ในลัทธิคอมมิวนิสต์ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มาของรูปภูมิพลที่มีอยู่ทุกบ้าน ในทุกจังหวัด ทุกอำเภอ ทุก  ตำบล ทุกหมู่บ้าน ในประเทศไทย 

  เมื่อมีมหาอำนาจอเมริกาให้การสนับสนุน กษัตริย์ฆาตกรจึงติดปีก

         ก้าวแรกที่กษัตริย์ภูมิพลเริ่มสร้างฐานอำนาจทางการเมือง คือความพยายาม ที่จะไม่ยอมเป็นกษัตริย์ภายใต้   กฎหมายรัฐธรรมนูญ โดยภูมิพลมีหลากหลายวิธีการเช่น.- การใช้โครงการหลวง และโครงการพระราชดำริ มาบัง   หน้า เพื่อสร้างภาพ และเอามาเป็นข้ออ้างกับรัฐบาลจอมพล ป. เพื่อขอเดินทางไปดูแลความเป็นอยู่ของประชาชน  ทั่วประเทศ  

     แต่ในช่วงที่จอมพล ป. พิบูลย์สงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ท่านจะอนุญาตให้กษัตริย์ภูมิพลเดินทางไปเยี่ยมพบประชาชนได้ไกลสุดจากกรุงเทพฯ เพียงแค่โครงการหุบกะพง ในอำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรีเท่านั้น เพราะการ   ปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์อยู่ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ “กษัตริย์จะทะลึ่งมาอ้างว่าขอไป   ดูแลประชาชน โดยทำงานแข่งกับรัฐบาลไม่ได้ ” 
โครงการหุบกะพง อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี
        ด้วยเหตุนี้กษัตริย์ภูมิพลจึงมีความแค้นต่อจอมพล ป.พิบูลย์สงคราม เป็นสองเท่า เพราะหนึ่งนั้นแค้นที่ จอมพล ป. เป็นหนึ่งในคณะราษฎรที่ร่วมกับปรีดี พนมยงค์ โค่นล้มระบอบกษัตริย์ และสอง คือแค้นที่ขัดขวางการสร้างฐานอำนาจของระบอบกษัตริย์

      เมื่อถูกจอมพล ป. ขัดขวาง กษัตริย์ภูมิพลจึงเริ่มใช้แผนยุทธศาสตร์แบ่งแยกแล้วปกครอง โดยหันไปให้ความสนับสนุน จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายทหารอีกขั้วหนึ่งในกองทัพบก ซึ่งต่อมาโดยการสนับสนุนของภูมิพล จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก็สามารถยึดอำนาจการปกครองจากจอมพล ป. พิบูลย์สงครามได้สำเร็จ

       ซึ่งการยึดอำนาจในครั้งนั้นสหรัฐอเมริกาก็เป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลัง เพราะสหรัฐอเมริกาถึงแม้ว่าจะเป็นผู้นำในโลกเสรีประชาธิปไตย แต่ภัยในการขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์ในขณะนั้น มีความสำคัญยิ่งกว่า ด้วยเหตุนี้อเมริกาจึงสนับสนุนการรัฐประหารของกษัตริย์ภูมิพล

       และการยึดอำนาจในครั้งนั้น กษัตริย์ภูมิพลย่ามใจถึงขนาดจงใจทำผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญโดยไม่กลัวเกรง โดยเป็นผู้ลงนามในคำสั่งให้จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นผู้รักษาพระนคร ทั้งที่ไม่มีผู้สนองพระบรมราชโองการ ซึ่งมีหลักฐานดังต่อไปนี้.-

                ประกาศพระบรมราชโองการแต่งตั้งผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร

โดยมีคำประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๗๔/ตอนที่ ๓๖/ฉบับพิเศษ/หน้า ๑/๑๖ กันยายน ๒๕๐๐
ลงวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๐๐                   
โดย: พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (ไม่มีผู้รับสนองฯ)
ประกาศพระบรมราชโองการ
แต่งตั้งผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร

ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.

       เนื่องด้วยปรากฏว่า รัฐบาลอันมีจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ได้บริหารราชการแผ่นดินไม่เป็นที่ไว้วางใจของประชาชน ทั้งไม่สามารถรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองได้ คณะทหารซึ่งมีจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นหัวหน้า ได้เข้ายึดอำนาจการปกครองไว้ได้ และทำหน้าที่เป็นผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร ข้าพเจ้าจึงขอตั้งจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร ขอให้ประชาชนทั้งหลายจงอยู่ในความสงบ และให้ข้าราชการทุกฝ่ายฟังคำสั่งจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ ๑๖ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๐๐

กษัตริย์ภูมิพลสนับสนุนจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ รัฐประหาร จอมพล ป.พิบูลย์สงคราม

        และในช่วงที่ภูมิพลสนับสนุนให้จอมพลสฤษดิ์ ขึ้นเถลิงอำนาจนั้นเอง ภูมิพลได้อาศัยอำนาจเผด็จการของจอมพลสฤษดิ์ ทวงคืนทรัพย์สินของสถาบันกษัตริย์ ที่ถูกรัฐบาลคณะราษฎรยึดไปหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 กลับคืนมาได้เกือบทั้งหมด  นอกจากนี้ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยังได้ตั้งงบประมาณสนับสนุนโครงการพัฒนาที่ภูมิพลมีพระราชดำริริเริ่มขึ้นเป็นครั้งแรก ในชื่อโครงการหลวง

 และนี่คือก้าวแรกในการรุกคืบเพื่อสร้างฐานอำนาจของกษัตริย์ภูมิพล

... มีต่อตอนที่ 3

































































ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

                                            สิ่งปนเปื้อนในพุทธศาสนา พุทธโควิท บทความโดย: นายพิษณุ พรหมสร เผยแพร่: 4 กุมภาพันธ์ 2566 ถ้าบอกตั...